Dhamma together:ประโยชน์สูงสุดแห่งความเป็นมนุษย์

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...

ในบรรดาผู้คนที่พากันบ่นว่าไม่มีเวลานั้น น่าสงสัยว่า

กี่คนที่ตระหนักว่า เวลาของตนกำลังเหลือน้อยลงทุกที เช่นเดียวกับเวลาที่คนรักทั้งหลายจะอยู่กับตน

ที่พูดเช่นนี้ก็เพราะหากผู้คนเฉลียวใจในความจริงดังกล่าว การใช้ชีวิตและเวลาของเขาจะเปลี่ยนไป

ไม่มัวแต่ทำมาหาเงิน หรือทำอะไรต่ออะไรมากมาย รวมทั้งวางแผนจะทำอีกสารพัดอย่าง ราวกับว่าจะ

ไม่มีวันตาย

ใครก็ตามที่ตระหนักว่า พ่อแม่มีเวลาเหลือน้อยลงทุกที

เขาจะไม่มัวทำมาหาเงินหรือเที่ยวเตร่สนุกสนานจนลืมพ่อแม่

ใครก็ตามที่ตระหนักว่า เวลาที่ลูกจะอยู่กับเขานั้นเหลือน้อยลงทุกที

อีกไม่นานเขาก็จะแยกไปมีชีวิตของตน เขาก็จะไม่มัววุ่นวายกับเรื่องนอกบ้าน จนทิ้งลูกไว้กับโทรทัศน์

หรือเกมออนไลน์

ถ้าเขาตระหนักว่า เวลาที่ตา หู แขน ขา มือ และ เท้า ของเขาจะทำงานได้เป็นปกติ เหลือน้อยลงทุกที

เขาก็จะไม่เอาแต่ใช้มันอย่างสมบุกสมบัน หรือใช้ในเรื่องไร้สาระ แต่จะทะนุถนอมดูแล และใช้มันให้เกิด

ประโยชน์อย่างแท้จริง

ถ้าเขาตระหนักว่า เวลาของเขาในโลกนี้เหลือน้อยลงทุกที เขาจะไม่ปล่อยเวลาให้หมดไปกับการทำงาน

หาเงินหรือแม้แต่การเสพสุขสนุกสนาน จนละเลยสิ่งสำคัญในชีวิต ที่ควรทำให้แล้วเสร็จก่อนจะไม่มี

โอกาส


เวลาของเราเหลือน้อยลงทุกที แต่ละนาทีจึงมีค่ามาก จึงควรใช้ให้

เกิดประโยชน์เต็มที่ กล่าวคือแทนที่จะเอาแต่ทำงานหาเงินอย่าง

เดียว ควรใช้เวลาในการสร้างอริยทรัพย์ คือ ทำความดี สร้างบุญ

กุศล ปลูกธรรมให้เจริญงอกงามในใจ ขณะเดียวกันก็เร่งทำหน้าที่

ที่สำคัญให้แล้วเสร็จ ไม่ให้คั่งค้าง ไม่ว่าหน้าที่ต่อคนรัก พ่อแม่ ลูก

หลาน สามีภรรยา และหน้าที่ต่อส่วนรวม เช่น ต่อพระศาสนา

การเกิดเป็นมนุษย์นั้นเป็นเรื่องยากอย่างยิ่ง ควรถือเป็นโชคอัน

ประเสริฐ ดังนั้นเมื่อได้ครองความเป็นมนุษย์ จึงควรได้รับประโยชน์

สูงสุดแห่งความเป็นมนุษย์ นั้นคือ อิสรภาพและความสงบเย็น

อันเป็นสุขอย่างยิ่ง 


ทั้งนี้ด้วยการภาวนาให้จิตและปัญญาเจริญงอกงาม เพื่อให้ศักยภาพภายใน อันได้แก่

“อริยโลกุตตรธรรม” ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นทรัพย์ประจำตัวของทุกคน เบ่งบานฉายฉานเต็มที่

หากไม่รู้จักหรือไม่ได้รับประโยชน์อะไรเลยจากทรัพย์ดังกล่าว ก็นับว่า “เสียของ”อย่างยิ่ง

พระไพศาล วิสาโล

#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:ถ้าเราไม่ยอมมองใครเป็นศัตรูเราก็กลายเป็นคนไม่มีศัตรู ทันที

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...



อยู่ที่ไหน อยู่อย่างไร จะบังคับให้ไม่มีศัตรู เป็นได้ยาก

การชนะศัตรูด้วยการต่อสู้มักจะเป็นการก่อเวร เรื่องต่างๆ

จึงไม่จบสิ้น มีวิธีเดียวที่จะชนะศัตรูทั้งปวงนั่นคือ

การเปลี่ยนความรู้สึกว่าเราเป็นศัตรูกับผู้ปองร้ายเรา

ถ้าเราไม่ยอมมองใครเป็นศัตรูเราก็กลายเป็นคนไม่มีศัตรู

ทันที แล้วดำเนินชีวิตด้วยความรอบคอบและระวังตัวแต่

ไม่เศร้าหมองใจ ท่ามกลางผู้ที่ทำให้ชีวิตท้าทายมากขึ้น

พระอาจารย์ชยสาโร

#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:แม้จะมีความดีเป็นของเรานั้นน่ะ ถ้ายังไม่หลุดพ้นมันก็ยังไม่ดี

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...




ปัญหามันก็อยู่ที่ว่า เพราะมี "ตัว" จึงเกิดปัญหา ว่าเราเป็นอย่างนั้น

เราเป็นอย่างนี้, เราได้เราเสีย, เราแพ้เราชนะ, เรากำไรเราขาดทุน

นั่นเพราะความรู้สึกว่ามีตัว. ถ้ามันรู้สึกลงไปจริง ๆ ว่าไม่มีตัวอย่างนี้

แล้ว ความรู้สึกทั้งหลายเหล่านั้นก็ไม่มี . มันจะไม่เกิดเรามีอยู่,

เราตายไป, เราได้เราเสีย, เราแพ้เราชนะ, เรากำไรเราขาดทุน,

เราได้เปรียบเราเสียเปรียบ, มันจะไม่มี เพราะความรู้สึกว่ามีตัว

มันจึงมีความรู้สึกเหล่านี้เกิดขึ้นจนเต็มไปหมด. เราได้เราเสีย,

เราอยากจะดี เราก็ทำความดี, เราก็แสวงหาความดี เอาความดีเป็น

ของเรา; นั่นยังไม่ใช่หลุดพ้นนะ, มันยังไม่ใช่หลุดพ้น. . 


แม้จะมีความดีเป็นของเรานั้นน่ะ ถ้ายังไม่หลุดพ้นมันก็ยังไม่ดีดอก. ถ้ามันหลุดพ้นจากความทุกข์จึงจะควร

เรียกว่าดี. แต่เดี๋ยวนี้มาบัญญัติกันเสียต่ำ ต่ำว่าอย่างนี้ดี, ทำบุญทำกุศลดี อะไรดีก็ดีกันอยู่เพียงเท่านี้

แล้วก็ไม่หลุดพ้น. ฉะนั้นความดีกลายเป็นเครื่องผูกมัดไปเสีย, ความดีกลายเป็นคอกขังบุคคลเหล่านี้ไว้

ให้อยู่ในคอกของความดี; แล้วก็ชอบความดี, อยู่กับความดี, สนใจอยู่กับความดี, จิตใจผูกพันอยู่กับ

ความดี. นี่โดยทั่วไปจะเป็นอย่างนี้, จนกว่าจะรู้สึกว่านี้ผูกพัน นี้ทำอันตราย, จึงอยากจะหลุดพ้นไปเสีย

จากสิ่งเหล่านี้. . ตรงนี้อยากจะชี้เน้นเฉพาะก่อนว่า พุทธศาสนานั้นไม่มีตัว, ไม่สอนเรื่องมีตัว, เราจะรู้

เรื่องมีตัวไว้ ในฐานะเป็นลักษณะเฉพาะของพระพุทธศาสนา. ศาสนาอื่นเขาสอนว่ามีตัวก็ตามใจ. ถ้าเขา

สอนว่ามีตัว, เขาต้องมีวิธีอย่างอื่น ที่จะทำลายความเห็นแก่ตัว; เขาต้องมีวิธีอย่างอื่นซึ่งไม่เหมือนเรา,

เขาก็ทำไปตามแบบของเขา เพื่อจะไม่เห็นแก่ตัว. เดี๋ยวนี้เรามีวิธีของเรา คือความรู้ การศึกษาของเรา

รู้ตามที่เป็นจริงว่า มันไม่มีตัว, มันก็ไม่เห็นแก่ตัวขึ้นมาเอง เพราะมันไม่มีตัว. นี่ยุติกันเสียทีหนึ่งก่อนว่า

พุทธศาสนาสอนวิธีทำลายความเห็นแก่ตัว โดยสอนให้รู้ว่ามันไม่มีตัว, มันไม่มีตัว. นั่นแหละจำไว้ให้ดี. .

#จดหมายเหตุพุทธทาส

#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:มีเมตตาเป็นเรือนใจ

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...




ในสมัยพุทธกาล เวลาที่พระอริยสาวกเจอกัน ท่านมักจะถามกัน

ว่า “ท่านสารีบุตรท่านอยู่ด้วยวิหารธรรมอะไร” พระสารีบุตรก็จะ

ตอบว่า “ช่วงนี้ผมอยู่ด้วยเมตตาพรหมวิหาร” “ช่วงนี้ผมอยู่ด้วย

สุญญตาพรหมวิหาร” หรือ “ช่วงนี้ผมอยู่ด้วยกรุณาพรหมวิหาร”

คำว่า “วิหาร” แปลว่า คุณธรรมประจำจิตประจำใจ เราทุกคนควร

จะฝึกจิตฝึกใจของเรา ให้มีเมตตาเป็นเรือนใจ เอาไว้เป็นพื้นฐาน

ถ้าเรามีเมตตาเป็นเรือนใจ เป็นพื้นฐานอยู่ตลอดเวลา ถึงเวลา

โกรธขึ้นมา เราไม่ต้องภาวนามากมาย แค่กลับมาแผ่เมตตาใน

จิตในใจให้ตัวเอง แล้วก็ให้คนที่เขาทำให้เราโกรธ แค่นั้นเอง 

แม่น้ำแห่งเมตตาก็จะแสดง ปาฏิหาริย์แห่งความชุ่มเย็นให้ปรากฏ

การที่คนจำนวนมากแผ่เมตตาแล้วไม่ได้ผล เพราะเขามัวแต่จะแผ่เมตตา แต่ไม่มีเมตตาที่จะนำไปแผ่

เห็นไหม ก่อนแผ่เมตตา จะต้องสร้างเมตตาจิตขึ้น ในจิตในใจของตัวเอง จนกระทั่งว่าให้ผล เป็นความ

ชุ่มเย็นในจิตในใจของตัวเองก่อน แล้วจากนั้นจึงค่อยแผ่ออกไป กระแสแห่งเมตตาก็จะค่อยๆ เลื่อนไหล

ไปถึงคนที่เป็นเป้าหมายที่เราแผ่เมตตาให้เขา คนจำนวนมากที่แผ่เมตตาแล้วไม่ได้ผล เพราะเขาแผ่

เมตตาแต่ปาก แต่ใจของเขานั้นยังเต็มไปด้วย ความโกรธอยู่เหมือนเดิม ฉะนั้นรากฐานของการแผ่เมตตา

ที่แท้จริงอยู่ที่ใจ ไม่ใช่ที่ปาก ส่วนถ้อยคำสำหรับแผ่เมตตานั้น ไม่สำคัญหรอกว่า จะเป็นภาษาบาลีหรือ

ภาษาไทย ขอเพียงเรานึกแผ่ความปรารถนาดี ออกไปจากใจเราอย่างแท้จริง พลังของจิตก็จะกระทบจิต

ที่เป็นเป้าหมายได้โดยตรง อย่ากังวลต่อถ้อยคำ แต่จงกังวลว่า เวลาที่เราแผ่ความปรารถนาดีไปให้ใคร

เรามีความจริงใจอยู่ในนั้นหรือเปล่า . ถ้าเรามีความจริงใจที่ปรารถนา จะให้เขาอยู่ดีมีความสุข แม้ไม่ต้อง

ท่องออกมาเป็นถ้อยคำ แต่ใช้เพียงกระแสแห่งจิตที่คิดถึงเขา ในทางกุศลแค่นั้น การแผ่เมตตาก็สำเร็จ

เหมือนกัน

พระเมธีวชิโรดม

ท่าน ว.วชิรเมธี

เครดิต https://goodlifeupdate.com

#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:รู้แจ้ง...มีแต่เกิดดับ

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...


การปฏิบัติธรรมก็เพื่อให้เกิดปัญญารู้แจ้ง หรือตรัสรู้ขึ้นมา

ว่าตัวตนจริงๆของเราไม่มี มีแต่เกิดดับ เป็นสิ่งสมมติ

หรือเป็นมายา หลอกลวงให้ลุ่มหลง . เมื่อน้อมพิจารณา

เห็นความจริง จนปล่อยวางความหลงยึดมั่นถือมั่น ว่าเป็น

เรา ตัวเรา ตัวตนของเรา ก็จะสิ้นตัวตนของเรา ไปยึดมั่น

ถือมั่น มาเป็นของของเรา . ดังนั้น ถ้าปฏิบัติธรรม แต่มีเรา

หรือตัวเราจะไปเอา ไปได้ ไปเป็นอะไร หรือ มีเรา ตัวเรา

เสพความว่าง โล่ง โปร่ง เบา สบาย จะผิดทางของ

พระพุทธเจ้า . เพียรวางให้หมด ทั้งความคิดหรือ อารมณ์

ที่ถูกรู้ และ “ผู้รู้” รวมทั้งสติ สมาธิ ปัญญา 


ซึ่งเป็นสังขารปรุงแต่ง โดยเห็นว่าเป็นเพียงเครื่องอาศัย ใช้เป็นเรือข้ามฟากเท่านั้น . ไม่หลง

ยึดถือ ว่าเราเป็นผู้รู้ ผู้เห็น ผู้เข้าใจ ผู้มีความสงบ ผู้ว่างเปล่า ผู้รู้แจ้ง หรือ ผู้รู้ ผู้เห็น ผู้เข้าใจ

ผู้มีความสงบ ผู้ว่างเปล่า ผู้รู้แจ้ง ผู้เพียรพยายาม ว่าเป็นเรา หรือ เป็นตัวเรา

หลวงตาณรงศักดิ์ ขีณาลโย

#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together: ประโยชน์ ความสุข ความทุุกข์ ความเดือดร้อน ในระยะยาว

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...



คนเห็นแก่ได้เพราะไม่รู้จักความหมายของคำว่าได้

และคำว่าเสีย ตามความเป็นจริง ในการเวียนว่าย

ตายเกิดในวัฏสงสาร คุณธรรมคือกำไร เพราะเป็น

เหตุให้เกิดประโยชน์และความสุขในระยะยาว

กิเลสคือขาดทุน เพราะเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์

ความเดือดร้อนในระยะยาว เพราะฉะนั้น ผู้เกลียด

ทุกข์รักสุขควรงดเว้นจากบาปกรรม และยินดีในบุญ

กุศล คนทำทุจริตด้วยความเห็นแก่ได้มักจะภูมิใจ

ว่าได้กำไร ถ้าไม่ถูกจับก็หลงว่าฉลาด แต่สิ่งที่ได้

นั้นก็แค่กาม ก็แค่วัตถุ ที่อาจใช้ได้ชั่วคราวเท่านั้น 


เพราะผลกรรมไม่เกิดทันตาเห็น จึงประมาท แต่ที่จริงคนที่กำลังเสพความสุขที่ได้จากการ

ทุจริต เหมือนกำลังดื่มยาพิษที่รสอร่อย ถ้าเทียบความสุขในปากเขากับความทุกข์ทรมานที่

ย่อมตามมา ก็น่าจะสรุปได้ว่าไม่ใช่กำไรเลย หากเป็นการขาดทุนเสียมากกว่า

พระอาจารย์ชยสาโร

#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:อานุภาพของการสวดมนต์....

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...



การสวดมนต์ ของหลวงปู่มั่นนั้น ท่านสวดมาก สวดนานเป็น

ชั่วโมงๆ และสวดเป็นประจำทุกคืนมิได้ขาด สูตรยาวๆ เช่น

ธรรมจักร (ธัมมจักรกัปปวัตตนสูตร) และ มหาสมัย ท่านสวด

เป็นประจำในกรณีพิเศษ เช่น เมื่อคราว ท่านกับหลวงปู่เสาร์

ไปวิเวกที่ท่าแขก ฝั่งประเทศลาว และชาวบ้านเกิดโรคฝีดาษ

กันทั้งหมู่บ้าน ท่านแผ่เมตตาใหญ่ ในรอบ ๒๔ ชั่วโมงต่อ ๓

ครั้ง คือ เวลากลางวัน ตอนบ่ายขณะนั่งภาวนาครั้งหนึ่ง 

ตอนก่อนนอนครั้งหนึ่ง ตอนตื่นนอนครั้งหนึ่ง ส่วนการแผ่เมตตาปลีกย่อยประจำนิสัยนั้น มิได้

นับอ่านว่าวันหนึ่งกี่สิบครั้ง และท่านกล่าวถึงอานุภาพของการสวดมนต์ไหว้พระว่า

พุทธมนต์นั้นใครสวดก็ตามจะเป็นกิจวัตรของพระสงฆ์ เช้า-เย็น หรือชาวพุทธทุกคน

สวดพุทธคุณระลึกในใจ มีอานุภาพแผ่ไปได้หมื่นจักรวาล

พูดหรือออกเสียงพอฟังได้ มีอานุภาพแผ่ไปได้แสนจักรวาล

สวดมนต์เช้า-เย็นธรรมดา มีอานุภาพแผ่ไปได้แสนโกฏิจักรวาล

สวดเต็มเสียง สุดกู่ มีอานุภาพแผ่ไปได้อนันตจักรวาล

แม้สัตว์ที่อาศัยอยู่ในสามภพและที่สุดอเวจีมหานรก ยังได้รับความสุขเมื่อแว่วเสียงพุทธมนต์

ผ่านลงไปชั่วขณะหนึ่งครู่หนึ่ง ดีกว่าหาความสุขไม่ได้เลยตลอดกาล

จากหนังสือ “รําลึกวันวาน”โดยหลวงตาทองคํา จารุวฺณโณ

#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:สำคัญที่ดวงธรรมแท้ที่มีชื่อในตัวเอง โดยไม่ต้องเป็นกังวลท่องบ่นจดจำให้ลำบาก

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...


“ถ้าใจปลอมพาให้เกิดธรรมปลอม แม้ถามและตอบกัน

วันยังค่ำก็ได้แต่ตัวทิฐิมานะเต็มหัวใจไม่ลงรอยกันได้

นั่นคือธรรมชื่อ คือได้แต่ชื่อของธรรม ไม่ได้ดวงธรรม

แท้มาครองภายในใจ ธรรมชื่อใครเรียนก็จำได้ เพราะ

เป็นสิ่งที่ควรจำได้ด้วยกัน แต่สำคัญที่ดวงธรรมแท้ที่

มีชื่อในตัวเอง โดยไม่ต้องเป็นกังวลท่องบ่นจดจำให้

ลำบากนั้น ปฏิบัติยาก มองเห็นได้ยาก รู้ได้ยาก ธรรม

แท้ที่ถูกกล่าวหาว่าปฏิบัติได้ยากรู้ได้ยากนี่แล ที่ไม่ขึ้น

อยู่กับคำถามคำตอบ


เพราะเป็นความจริงล้วนหมดปัญหาโดยประการทั้งปวง และธรรมนี่แลมีอยู่ในโลกตลอดอนันต

กาล ไม่เจริญและไม่เสื่อมไปกับอะไร คำว่าอำนาจธรรมก็คือธรรมนี่แลจะเป็นอะไรที่ไหนกัน

ที่พูดนี้ก็ไม่แน่ใจนักว่าหมู่คณะจะเข้าใจตามได้ทุกแง่แห่งธรรมที่พูดมา แต่ถึงกาลที่ควรพูด

บ้างก็จำต้องพูด พอเป็น กาเลน ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ...”

ธรรมโอวาท พระครูวินัยธร (มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ. สกลนคร

(พ.ศ. ๒๔๑๓ - ๒๔๙๒)

ที่มา: หนังสือปฏิปทาของพระธุดงคกรรมฐาน สายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ

#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:สติเห็นลมหายใจนี้เอง คือเครื่องฟอกอากาศพิษลมพิษได้ดี

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...




สิ่งอันตรายทีี่สุดที่เป็นฝุ่นละอองอยู่ในอากาศ แล้วจมูกก็

สูดเข้าร่างกาย ลมที่เข้าจมูกนั้นเป็นลมพิษ ให้ความร้าย

แก่ร่างกาย คำอุปมานี้เพื่อให้รู้ให้ได้เข้าใจเห็นภาพ

ว่าลมหายใจมีส่วนสำคัญ เมื่อกำหนดลมหายใจ

ใส่สติลงไป ว่ากำลังหายใจ กำลังหายใจ ร่างกายส่วนอื่น

จะทำอะไรก็ทำไป มันไม่ขัดแย้งกัน สติเห็นลมหายใจนี้

เอง คือเครื่องฟอกอากาศพิษลมพิษได้ดีมาก เป็นอากาศ

บริสุทธิ์ลมบริสุทธิ์เข้าร่างกาย เพราะสิ่งอันตรายที่สุดที่อยู่

ในอากาศพิษนั้นเมื่อสูดเข้าไป หายใจเข้าไป มันจะทำให้

จิตให้จิต มีแต่กิเลส โทสะ โมหะ โลภะ นั่นเอง 

แล้วจะกลายเป็นความอยาก และ ความไม่อยาก ขึ้นมา ถ้าไม่ฟอกอากาศอันตรายที่สุดคือ

การคาดหวัง นั่นคือเหตุแห่งความทุกข์แท้ ชั้นยอดเยี่ยม กำหนดลมหายใจได้ถูกต้อง

ได้ถูกต้อง จะไม่ต้องทุกข์อีกเลย

ท่านพุทธทาส

#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ

#อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน

#จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:สำรวมอายตนะ

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...


"การตั้งจิตมั่น ไม่ใช่การห้ามอายตนะ"

"การตั้งจิตตั้งมั่น คือ ตั้งจิตไม่ให้ปรุงไปกับสิ่งที่มากระทบกับอายตนะ"

"ตา"ไปกระทบกับ"รูป" เกิดจักษุวิญญาณคือ การเห็น - จะห้ามไม่ให้ตาเห็นรูป ไม่ได้

"หู"ไปกระทบ"เสียง" เกิดโสตวิญญาณคือ การได้ยิน - จะห้ามไม่ให้หูได้ยินเสียงไม่ได้

"จมูก"ไปกระทบกับ"กลิ่น" เกิดฆานวิญญาณคือการได้กลิ่น - จะห้ามไม่ให้จมูกรับกลิ่นไม่ได้

"ลิ้น" ไปกระทบกับ"รส"เกิดชิวหาวิญญาณคือการได้รส - จะห้ามไม่ให้ลิ้นรับรู้รสไม่ได้

"กาย" ไปกระทบกับ "โผฏฐัพพะ" เกิดกายวิญญาณคือกายสัมผัส - จะห้ามไม่ให้กายรับ

สัมผัสไม่ได้



"วิญญาณทั้ง ๕" อย่างนี้ เป็นกิริยาแฝงอยู่ในกายตามทวาร

ทำหน้าที่รับรู้สิ่งต่างๆ ที่มากระทบ เป็น "ภาวะแห่งธรรมชาติ"

ของมันเป็นอยู่เช่นนั้น ก็แต่ว่า เมื่อจิตอาศัยทวารทั้ง ๕

เพื่อเชื่อมต่อ รับรู้เหตุการณ์ภายนอกที่เข้ามากระทบ แล้วส่ง

ไปยังสำนักงานจิตกลางเพื่อรับรู้ เราจะห้ามมิให้เกิด มี

เป็น เช่นนั้น ย่อมกระทำมิได้ การป้องกันทุกข์ที่จะเกิดจาก

ทวารทั้ง ๕ นั้น เราจะต้องสำรวมอินทรีย์ทั้ง ๕

ไม่เพลิดเพลินในอายตนะเหล่านั้น 

หากจำเป็นต้องอาศัยอายตนะทั้ง ๕ นั้น ประกอบการงานทางกาย ก็ควรจะกำหนดจิตให้ตั้ง

อยู่ในจิต เช่นเมื่อเห็นก็สักแต่ว่าเห็น ไม่คิดปรุง ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน ไม่คิดปรุง ดังนี้เป็นต้น

"พระอาจารย์ดูลย์ อตุโล"

#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:การทำบุญจากภายใน

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...


..บุญที่เกิดจากกุศลจิต เป็นการทำบุญภายใน

ไม่ใช่การทำบุญภายนอกด้วยวัตถุสิ่งของ

แต่เราทำบุญโดยการสร้างกุศลจิต

สร้างจิตที่ผ่องใสมีคุณงามความดี เป็นจิตไม่ตระหนี่

เหนียวแน่น จิตไม่เกิดโทสะ มานะ ทิฏฐิ

จิตไม่ประกอบด้วยกิเลส

จึงเป็นบุญมหาศาลหาค่ามิได้

เกิดจากจิตภายใน

ถ้าเราทำอย่างนี้อยู่เสมอๆ

ก็เป็นบุญอยู่ทุกอิริยาบถ


หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:รับข้อมูลใหม่ ปรับเปลี่ยนความคิดเสียใหม่

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...


 


ระวังอย่าให้จิตใจผูกพันกับความคิด

ความเห็น ความเชื่อถือ มากจนเกินไป

เพราะเมื่อผูกพันไปแล้วเรียกว่ากลายเป็น

อัตตาเสียแล้ว เป็นอันตรายได้หลายอย่าง

เช่น รับข้อมูลมาใหม่รู้ว่าควรจะเปลี่ยนความ

คิดเสียใหม่ แต่ไม่ยอมหรือไม่กล้าเพราะกลัว

เสียหน้า 

หรือเมื่อใครวิจารณ์ความคิดของเราก็เจ็บถึงตัว แต่ถ้าเราไม่ยึดมั่นถือมั่นในความคิดเห็น

เราฟังเหตุผล ฟังความคิดเห็นที่ดีกว่า ที่ลึกซึ้งกว่า เราก็สามารถวางของเดิม หยิบของใหม่

ขึ้นมาได้ เพราะเราเอาความถูกต้องเป็นหลัก ไม่ได้เอาการรักษาหน้าตาเป็นหลัก

พระอาจารย์ชยสาโร

#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:อานาปานสติกับธรรมะ 4 เกลอ : สติ ปัญญา สัมปชัญญะ สมาธิ

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...




อานาปานสติกับธรรมะ 4 เกลอ : สติ ปัญญา สัมปชัญญะ

สมาธิ ในการปฏิบัติอานาปานสตินั้น ถ้าสำเร็จแล้ว หรือสำเร็จ

ตามสมควร ก็จะเกิดมีธรรมมะขึ้นมามากมายๆ เกิดสติ

โดยเฉพาะเกิดสมาธิ เกิดปัญญา นี่เป็นหลักใหญ่ แล้วก็นำไป

ใช้ให้เกิดอะไรอีกต่อไปตามลำดับ แล้วแต่ใครจะปรารถนา

ดำรงชีวิตอยู่ด้วยธรรมมะเหล่านั้นให้มีความสุขสงบเย็น

เป็นนิพพาน นั่นคือจุดมุ่งหมายในที่สุด คือ เรารู้เรื่อง

ปฏิจจสมุปบาท แล้วก็ฝึกสติ ฝึกควบคุมกระแส

ปฏิจจสมุปบาท...

เมื่อท่านฝึกอานาปานสติ ท่านเท่ากับฝึกสติโดยตรง สติทั้ง 16 ขั้น หากขั้นตอนคุมสติตาม

แบบทั้ง 16 ขั้นตอนแล้ว มันก็มีความรู้ก่อน รู้ในธรรมมะที่สติออกมากำหนดจนรู้จักธรรมมะ

เหล่านั้น เรียกว่าได้ปัญญา ประสบความสำเร็จในการกำหนดนั้นกำหนดได้จริง เราเรียกว่ามี

สมาธิส่วนธรรมมะอื่นๆ เช่นการอดกลั้นอดทนความสุขุม ประณีต ละเอียดลออ สงบเย็น ไม่ตื่น

เต้นและอีกมากมายท่านก็สังเกตดูเอาเอง

แต่ว่าที่เป็นหลักใหญ่ๆ อยากจะเสนอแนะเป็นพิเศษสัก 4 อย่างก็คือ สติ ปัญญา สัมปชัญญะ

แล้วก็ สมาธิ ไอ้ส่วนที่เป็นความพากเพียร เป็นความพยายามต่อสู้กับตนนั้นเป็นบริวาร

ธรรมมะใหญ่ๆที่เป็นหัวหน้าเป็นประธาน ที่ต้องใช้กันอย่างจริงๆจังๆอย่างน้อยก้อ 4 อย่าง

ทั้ง 4 อย่างนี้มันต้องเกี่ยวข้องกัน มันทำงานร่วมกันเป็นสามัคคี ตามหน้าที่ สิ่งแรกที่เรียกว่า

"สติ" สตินี่คือความระลึกได้ไว ระลึกได้ทันเหตุการณ์ หรือได้เร็วสายฟ้าแลบ เกิดอะไรขึ้น

ก็รู้สึกตัว ระลึกได้เร็ว ว่ามันเป็นอย่างไรความเร็วของสติเท่ากับความเร็วของลูกศร คำว่าสติ

กับคำว่าศรนี่มันคำเดียวกันในภาษาบาลีมีความระลึกเร็วเหมือนกับลูกศร มันระลึกได้ถึงสิ่งที่จะ

แก้ปัญหาเฉพาะหน้า เมื่อไรเกิดขึ้นจะเป็นความทุกข์นี่มันระลึกได้เร็วถึงสิ่งที่จะแก้ปัญหาที่

เฉพาะหน้าในเรื่องนี้ เพราะว่าเราได้ศึกษาไว้มาก เป็นความรู้ เมื่อเก็บไว้เต็มตู้เต็มคลังเรียกว่า

"ปัญญา" เราสังเกตดูว่าปฏิบัติกว่าจะครบอานาปานสติทั้งสี่ขั้นมันมีความรู้เรื่องนั้นเรื่องนี้เรื่อง

นู้นมากมาย มีครบทุกอย่าง มันเป็นการศึกษาเอาจากอานาปานสติโดยตรง แต่ว่าความรู้

ทุกอย่างนี้เรียกว่าปัญญา พากเพียรศึกษาอบรมมากเท่าไหร่มันก็มีปัญญามากเท่านั้นแหละ

มันก็เก็บไว้เหมือนกับเก็บไว้ในตู้ในคลังนี่ เก็บอาวุธ พอเกิดเรื่องขึ้นมา สติก็ระลึกได้ทันทีว่า

จะเอาปัญญาข้อไหนมา หรือนึกถึงปัญญาข้อไหน เหมือนกับเราเก็บอาวุธไว้หลายๆอย่าง

พอเกิดเรื่องขึ้นมาที่ต้องใช้อาวุธก้อระลึกได้ทันทีว่าต้องใช้อาวุธอันไหน อาวุธชิ้นไหน

เพราะฉะนั้น ไม่ต้องเอามาทั้งหมดหรอก แต่เอามาเฉพาะที่มันเหมาะสมกับเหตุการณ์

ถ้ามันมาประจำการในหน้าที่เฉพาะ จะทำหน้าที่ละก้อเปลี่ยนชื่อเรียกว่า "สัมปชัญญะ"

สัมปชัญญะก็คำเดียวกับปัญญา สัม แปลว่าพร้อม ปะ แปละว่าช่วย ญะ ก็แปลว่าปัญญา

ปัญญาเฉพาะหน้าเหตุการณ์ ที่เอามาเผชิญกับเหตุการณ์ เพื่อต่อสู้กับปัญหา ทำลายปัญห

ที่นี้เหลืออยู่ก็คือว่า ปัญญา คือ สัมปชัญญะนั้นน่ะ มีกำลังมากพอหรือหาไม่ ตามธรรมดามันก็

ไม่พอ ก็ต้องใช้ธรรมมะอีกข้อหนึ่งข้อที่สี่คือ "สมาธิ" สมาธิคือกำลังจิตทั้งหมดระดมลงไป

สัมปชัญญะก็ทำหน้าที่ได้สำเร็จ

พุทธทาสภิกขุ

#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:"ความอดทนเป็นเครื่องประดับของนักปราชญ์"

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...



"ความอดทนเป็นเครื่องประดับของนักปราชญ์"

การที่พระภิกษุสามเณรทำหน้าที่ศึกษาพระปริยัติธรรม

เปรียบเป็นบันไดก้าวไปสู่ความเป็นนักปราชญ์อยู่แล้ว

แต่หากขาดความอดทนในการต่อสู้กับกิเลส ไม่ว่าจะเป็น

ความเกียจคร้าน ความรักสบาย ความท้อแท้ อันเป็น

อุปสรรคขวางบันไดแต่ละขั้น จะไม่มีวันบรรลุจุดสูงสุดที่

ปรารถนาได้ เพราะฉะนั้นผู้เป็นนักปราชญ์ หรือผู้ประสงค์

จะเป็นนักปราชญ์ จึงละความอดทนอดกลั้นไปเสียไม่ได้

แม้สักชั่วขณะ

สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ

สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:ทางประเสริฐ.. ของการดำเนินชีวิต

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...



“ทางประเสริฐของการดำเนินชีวิต

ได้แก่ “การวางเฉย”ในอารมณ์ทั้งปวง

คือ “อุเบกขา” โดยมีความสำนึกว่า

อะไรจะเกิด ไม่ว่าดีหรือไม่ดี

มันก็ต้องเกิด อะไรจะดับ

ดีหรือไม่ดี มันก็ต้องดับ

เราจะห้ามไม่ให้เกิดไม่ให้ดับไม่ได้”

หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม

#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:ความสำคัญอยู่ที่เจตนา

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...


พระพุทธองค์ตรัสสอนว่าความปรารถนาที่จะ

โอ้อวดหรือความพยายามสร้างภาพลักษณ์ของตน

ในสายตาคนอื่นเป็นกิเลสอย่างหนึ่ง ทุกวันนี้สื่อ

สังคมออนไลน์ช่วยส่งเสริมความโอ้อวดอย่างมาก

วิธีเรียกการโอ้อวดว่าเป็นการ "แชร์" ไม่จำเป็น

ต้องหมายความว่าจะไม่ใช่การโอ้อวดอีกต่อไป

หรือการเพิ่มคำอธิบายแบบอ่อนน้อมถ่อมตนก็ไม่

ได้ช่วยลดความโอ้อวดแต่ประการใด ความสำคัญ

อยู่ที่เจตนา


ถ้าเรารู้สึกจำเป็นต้องแต่งภาพถ่ายเพื่อลบริ้วรอยบนใบหน้า ทำให้ตัวเองผอมเพรียวลง หรือ

สวยขึ้น ต้องลองสำรวจเหตุผลดูว่าทำไมเราต้องทำอย่างนั้น การมีสติไม่ได้หมายความเพียง

แค่การอยู่ในปัจจุบันเท่านั้น แต่หมายรวมถึงการตระหนักรู้ถึงเจตนาของตนว่าเป็นกุศลหรือ

อกุศลด้วย จากนั้นจึงเพียรละอกุศลและทำกุศลให้เพิ่มพูนขึ้น

ธรรมะคำสอน โดย พระอาจารย์ชยสาโร แปลถอดความ โดย ปิยสีโลภิกขุ

#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:เรื่องแรกที่จะต้องรู้และปฏิบัติ ก็คือเรื่องความดับทุกข์

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...





พอพระองค์ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว สิ่งที่

ทรงประกาศเปิดเผย แก่มนุษย์เป็นเรื่องแรกก็คือ

ปฐมเทศนานี้เอง : พูดเรื่องความทุกข์, เหตุให้เกิดทุกข์,

ความดับทุกข์, และทางให้ถึงความดับทุกข์ ซึ่งใคร ๆ ก็

มักจะจำได้ เพราะเคยได้ยิน. ทีนี้ทำไมพระองค์จึงนำมา

ตรัสเป็นเรื่องแรก? นี้เป็นสิ่งที่ต้องคิดดู ทำไมไม่เอาเรื่อง

อื่นมาตรัสเป็นเรื่องแรกเล่า? ก็พอจะสันนิษฐาน หรือเดา

กันได้ทุกคนว่ามันเป็นเรื่องด่วน เป็นเรื่องรีบด่วนกว่าเรื่อง

ใดๆ เพราะว่าสัตว์โลกทั้งหลาย กำลังตกอยู่ในสถานะ

เหมือนไฟกำลังไหม้อยู่ที่เนื้อที่ตัว หรือไหม้อยู่ที่ศีรษะ,

นี่สัตว์ทั้งหลายกำลังตกอยู่ในเพลิงทุกข์ ร้อนรนทนทรมานอยู่ด้วยไฟทุกข์. เรื่องแรกที่สุด

ที่ควรเอามาพูดกับสัตว์เหล่านี้ก็คือเรื่องดับทุกข์  แต่เรื่องดับทุกข์นั้นเมื่อจะพูดให้สมบูรณ์

มันต้องพูดเรื่องความทุกข์ และเหตุให้เกิดทุกข์เสียก่อน แล้วจึงพูดเรื่องความดับทุกข์

และวิถีทางที่จะให้ได้มาซึ่งความดับทุกข์นั้น รวมกันเป็น ๔ หัวข้อเล็ก ๆ,

แต่เมื่อรวมกันเข้าแล้วก็เป็นหัวข้อใหญ่ข้อเดียว คือว่าเรื่องการดับทุกข์ เป็นเรื่องแรก เป็นเรื่อง

ด่วนจี๋ สำหรับชีวิตมนุษย์ จึงนำมาตรัสเป็นเรื่องแรก. ทีนี้เรา พวกเราทั้งหลาย เราศึกษาเรื่อง

อะไรเป็นเรื่องแรก ? นี่ดูมันยังไขว้เขวกันอยู่  เรามักจะได้รับการสั่งสอนเป็นเรื่องแรก ก็คือ

เรื่องพระรัตนตรัย ให้รู้เรื่องพระพุทธ เรื่องพระธรรม เรื่องพระสงฆ์ ไม่รู้ไม่เข้าใจก็ต้องให้ทำ

เป็นอย่างท่าทาง หรือพิธีรีตอง เป็นประเพณีไปก่อน จึงรู้เรื่องพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

เป็นเรื่องแรก โดยที่ไม่ต้องมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จริง ๆ เป็นแต่เรื่องของความรู้ที่รู้

ด้วยการได้ยินได้ฟัง เลยไม่ได้สำเร็จประโยชน์ในการดับทุกข์ ถ้าจะมีระเบียบ

ขนบธรรมเนียมประเพณีใด ๆ ให้พูดกันถึงเรื่องความทุกข์ และดับทุกข์ก่อน ก็จะดี สำหรับครั้ง

พุทธกาลนั้น พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สอนใครให้รับไตรสรณาคมน์ นี่เป็นของที่แปลก ถึงกับ

จะเรียกว่าที่เล่นตลกกันอยู่ก็ได้ ครั้งพุทธกาลนั้นพระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสเรียกใครมาให้รับ

ไตรสรณาคมน์ มาสอนพุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ เป็นต้น มันไม่มี มันหาไม่

ได้ในพระบาลีทั้งหลาย เรื่องรับสรณาคมน์นั้นมันเป็นเรื่องของคนนั้นเอง  เมื่อเขาได้ยินได้

ฟังเรื่องดับทุกข์จนเป็นที่เข้าใจแจ่มแจ้ง และพอใจแล้ว แล้วก็จะถือเอาระบบนี้เป็นระบบ

ประจำชีวิตเพื่อดับทุกข์ต่อไป ในตอนสุดท้ายเขาจึงประกาศออกมา ว่าข้าพเจ้าขอถือเอา

พระพุทธเจ้า พร้อมทั้งพระธรรม พร้อมทั้งพระสงฆ์ เป็นสรณะจนตลอดชีวิต เขาว่าเอง

พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ว่า #ธรรมะคือหน้าที่ นี่ไม่มีใครเคยรับสรณาคมน์จากพระพุทธเจ้า

หรือจากพระสงฆ์องค์ใด แต่เขารับออกมาจากความพอใจในจิตใจของเขา และประกาศต่อ

พระพักตร์พระพุทธเจ้า ว่าเขาขอถือเอาระบบธรรมะนี้เป็นหลักปฏิบัติสืบต่อไป ทีนี้ ประเพณีนี้

มันจะเกิดขึ้นครั้งไหน ? เมื่อไร ? ก็ยากที่จะกล่าว แต่มันแน่นอนที่สุด ว่ามันได้เกิดขึ้นใน

ตอนหลัง ที่ว่าพอใครจะมีธรรมะ หรือจะนับถือศาสนานี้ แล้วก็เรียกตัวมาทำพิธีปฏิญญา

คล้ายๆ กับขอทำสัญญา ว่าจะนับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์. นี่คือข้อที่ปฏิบัติกันอยู่

โดยที่ไม่ได้มีความรู้สึกสำนึกว่า "ธรรมะคือหน้าที่" การที่มันมากลายในสมัยนี้ เป็นว่ามารับถือ

พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ กันก่อนเป็นเรื่องแรก โดยไม่ต้องรู้ว่าความทุกข์คืออะไร นั้นน่ะ

มันฝืน ๆ กันอยู่ คือคนนั้นไม่รู้เหตุผลว่าทำไมจะต้องนับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

เอาตัวมาให้ปฏิญญาถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มันก็คล้ายเป็นเรื่องละเมอเพ้อฝันเสีย

มากกว่า แล้วผลก็เลยได้อย่างละเมอเพ้อฝัน คือดับทุกข์ไม่ได้ หรือไม่ได้ดับทุกข์รวมกัน

นี่เราจะต้องรู้เป็นเรื่องแรก ของการเป็นพุทธบริษัท หรือการที่จะเข้ามาเป็นพุทธบริษัท

เรื่องแรกที่จะต้องรู้และปฏิบัติ ก็คือเรื่องความดับทุกข์

พุทธทาสภิกขุ

#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:หลักสติปัฏฐาน ๔ คือ กาย เวทนา จิต ธรรม..เห็นเอง รู้เอง

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...



การพิจารณาตามหลักสติปัฏฐาน ๔ คือ

กาย เวทนา จิต ธรรม พิจารณากายของเรามีอาการ ๓๒

กายนั่งก็เอาความรู้สึกมาไว้ที่กายนั่ง

กายเดินก็เอาความรู้สึกมาไว้ที่ความเคลื่อนไหวก้าวไป

ก้าวมา กายนอนก็พิจารณาอาการนอนของกาย

กายทำอะไรเราก็พิจารณา กายกิน กายเดิน กายนั่ง

กายนอน เอาจิตจับไว้กับกาย ความรู้สึกก็ตามอยู่กับกาย

ตลอดเวลา หลับตาลืมตาโยกโคลง จิตก็อยู่กับกาย

จิตก็มีสติ เมื่อมีสติติดต่อไปนานๆ ก็เป็นสมาธิขึ้นมาทันที

ตรงที่เป็นสมาธินี่เราจึงรู้ว่า 

อานิสงส์ของการทำความรู้กับกายนี้ทำให้จิตของเราสงบ เมื่อเห็นกายมากๆ ขึ้นมาก็เห็นทุกข์

ของกาย เห็นทุกข์ของใจ จิตก็เกิดขึ้น เวลาเราคิดอะไรเราก็ทันจิตตัวเอง เรียกว่า รู้จิตเห็นจิต

จิตมีเวทนา สุขก็รู้ ทุกข์ก็รู้ รู้สุขรู้ทุกข์เขาเรียกว่า รู้เวทนา เวทนานี่มีทั้งภายในและภายนอก

เวทนาภายนอก ก็คือ เวทนาทางกาย เช่น กายเป็นสุขเป็นทุกข์ กายร้อนกายหิวกายกระหาย

กายปวดเมื่อย ส่วนเวทนาภายใน คือ เวทนาทางใจ จิตเป็นสุขก็สุขเวทนา จิตเป็นทุกข์ก็

ทุกขเวทนา จิตวางเฉยก็เป็นอุเบกขาเวทนา พระพุทธองค์ท่านให้พิจารณาหมดเลย ถ้าเราจะ

ศึกษาให้เกิดปัญญา ก็พิจารณาอย่างนี้ปฏิบัติจึงจะเกิดปัญญา เห็นเวทนาภายในบ้าง เห็น

เวทนาภายนอกบ้าง เกิดแล้วก็ดับ ไม่มีอะไรตั้งอยู่ได้สักอย่างเดียว เสียงก็ดี รูปก็ดี ความคิด

นึกก็ดี ก็มีเรื่องเกิดๆ ดับๆ อยู่ในจิตของเรา เมื่อพิจารณามากๆ ก็รู้จิตเห็นจิตมากขึ้น รู้ธรรม

เห็นธรรมมากขึ้น จิตภายในคิดเรื่องปรุงแต่งคิดนึกต่างๆ เห็นจิตภายนอกก็ท่องเที่ยวไปใน

เรื่องราวต่างๆ เรียกว่า รู้ทันจิตตัวเอง คิดไปถึงไหนก็รู้ถึงนั่น ดับที่จิตเกิดที่จิตก็รู้จิตภายใน

ก็เห็นธรรม ธรรมที่เสื่อมไปบ้าง ธรรมที่เจริญบ้าง เรียกว่าธรรมารมณ์ที่เกิดกระทบใจ

ธรรมเทศนาที่เกิดขึ้นในใจก็เกิดขึ้น เห็นสุขเห็นทุกข์ เห็นบุญเห็นบาป เห็นความเปลี่ยนแปลง

ไม่แน่ไม่เที่ยง พิจารณาธรรมในจิตที่เกิดขึ้นได้รู้ได้เห็น ปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ ก็ทำให้เรารู้เรื่อง

มรรคองค์ ๘ รู้เรื่องคำสอนของพระพุทธเจ้าว่ามีจริง พุทธศาสนานี่พอปฏิบัติแล้วจะเห็น

อ๋อ...นี่เรื่องจริง พระพุทธเจ้าได้ผ่านพบสิ่งนี้จริงจึงได้สอนไว้ ถึงเราจะไม่เจอองค์

พระพุทธเจ้า แต่เราก็เชื่อว่าพระพุทธเจ้ามีจริง เพราะธรรมอันนี้ปฏิบัติแล้วก็พบธรรมะคำสอน

ของพระพุทธเจ้าจริงๆ ทำแล้วก็เกิดเทศนาขึ้นในใจเรา ไม่ใช่นั่งไม่รู้อะไร นั่งแล้วกลับรู้ ยิ่งนั่ง

ยิ่งรู้ ยิ่งนั่งยิ่งเห็น ยิ่งปฏิบัติยิ่งเพลิดเพลิน มีความสุขสงบ มันไม่ใช่เป็นคนเดิม พอเป็นอย่างนี้

ก็เกิดความปีติพอใจที่ตนเองได้เข้ามาปฏิบัติ เห็นมรรคเห็นผลในใจเรา มีศรัทธาเชื่อมั่น

แน่นอนไม่สงสัย การปฏิบัติธรรมก็ต้องพิสูจน์ด้วยตนเอง จะไปให้ใครมาบอกเราว่าเป็น

อย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ก็ไม่เหมือนเราเห็นเองรู้เอง..

หลวงพ่อสนอง กตปฺญโญ..

#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา

#พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ฉลาดใช้ #เฉลียวคิด #ชีวิตจักสนุก

สุข สงบ เย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:เมื่อรู้จักเหตุผลย่อมรู้จักพอ

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...



"ศาสนาพุทธสอนเรื่องเหตุผลว่าถ้าไปสร้างกรรมไว้

เป็นบาป ผลที่ตามมามันคือตกนรกนั่นแหละ เพราะนรก

เป็นผลของบาป ไม่มีอะไรเกินเลยเถิด

อย่างพระพุทธเจ้าสอนเรื่องทุกข์เพราะไปยอมตัวเองให้

อยู่ภายใต้อำนาจกิเลสตัณหา ที่ต้องดิ้นรนแสวงหากัน

ไม่รู้จบ จึงเป็นทุกข์กัน ทุกข์เพราะดิ้นรนแสวงหา ทุกข์

เพราะทะยานอยาก ได้แล้วก็ไม่พอ มีร้อยล้านก็จะได้

พันล้าน มีพันล้านก็จะเอาหมื่นล้าน หมื่นล้านก็จะเอา

แสนล้าน แสนล้านและจะมีห้าแสนล้าน ไม่รู้จักพอมันก็

เลยเป็นทุกข์ บางทีทุกข์หนักด้วยนะ

เพราะฉะนั้นถ้ารู้จักพอเรียกว่ารู้จักเหตุผล เมื่อรู้จักเหตุผลย่อมรู้จักพอมันก็ไม่ต้องไปสร้างบาป

สร้างเวรสร้างกรรม ไม่ต้องไปทุจริตคอรัปชั่นไม่ต้องไปเบียดเบียนคนอื่น ก็นรกไม่มี

มีแต่สวรรค์"

"เหตุผลนรก - สวรรค์"

พระธรรมกิตติเมธี

วัดราชาธิวาส

#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา

#พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ฉลาดใช้ #เฉลียวคิด #ชีวิตจักสนุก

สุข สงบ เย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together: “อัตตวาทุปาทาน”

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...



การยึดมั่นถือมั่นในเรื่องตัวเรื่องตน ที่เราเรียกในภาษา

ธรรมะว่า “อัตตวาทุปาทาน” คือ การยึดมั่นถือ มั่นใน

ตัวฉัน ในของของฉัน ถ้ายังมีความยึดมั่นอยู่ตราบใด

ความทุกข์ก็ยังมีอยู่ ความร้อนก็ยังมีอยู่ อะไรๆ ที่มันเกิด

ขึ้นตามธรรมชาติ มันก็มีอยู่กับผู้นั้น แต่ว่าถ้าถอนความยึด

มั่นถือมั่นได้เมื่อใด สิ่งเหล่านั้นมันก็ไม่มี มันมีของมันอยู่

ตามธรรมชาติไม่ใช่ว่าไม่มี แต่ว่าจิตไม่ได้เป็นทุกข์เพราะ

เรื่องนั้น เช่น ว่าความร้อนทางกายก็มีอยู่ เจ็บปวดมันก็มี

อยู่ แต่ว่าจิตไม่ปวดในเรื่องนั้น ไม่ได้เจ็บไปกับเรื่องนั้น

ดูอาการมันเฉยๆ ไม่มีปฏิกิริยาเกิดขึ้นในใจ 

อันนี้เป็นเรื่องของจิตใจล้วนๆ... แต่ว่าจิตของพระอริยเจ้านั้น ท่านไม่มีเหมือนเรา จิตท่านแตก

ต่างจากเรา เพราะท่านปฏิเสธหมดแล้ว ไม่มีอะไรเป็นของท่าน อะไรๆ มันเกิดขึ้นท่านก็เฉยๆ

คล้ายๆกับเรื่องอย่างนี้ เหมือนกับว่ามีอะไรของใครเขาหาย เราไม่ได้เป็นทุกข์กับเขา เช่นว่า

คนหนึ่งเขามีของหายไป เรารู้เราก็เฉยๆ ที่เฉยๆ ก็เพราะว่าของนั้นมันมิใช่ของเรา บ้านคนอื่น

ถูกไฟไหม้อยู่ห่างไกลจากบ้านเรา เราก็ไม่ได้เป็นทุกข์ ไม่ได้เดือดร้อนใจ ที่ไม่ได้เป็นทุกข์ก็

เพราะว่า เราไม่ได้นึกว่าเป็นบ้านของเราอยู่นั่นเอง แต่ถ้าว่าบ้านของเราถูกไฟไหม้ เราก็ร้อน

อกร้อนใจมีความทุกข์ความเดือดร้อน ความทุกข์ความเดือดร้อนตัวนี้เกิดขึ้น เพราะจิตเข้าไป

ยึดถือว่าเป็นบ้านของฉัน เงินทองของฉัน อะไรๆ ของฉัน พอเอาคำว่า “ของฉัน” เข้าไปใส่ไว้

ไม่ว่าในเรื่องอะไร ความทุกข์มันก็เกิดขึ้นทันที เพราะเรื่องเข้าไปยึดถือในสิ่งนั้น อันนี้แหละ

เป็นเรื่องที่มีอยู่ในจิตใจของมนุษย์ทุกคนที่เราพอมองเห็นได้ คือมองเห็นได้ว่า ถ้าเมื่อใดใจ

เราปล่อยวางเสียได้ เราก็สบายใจ แต่เมื่อใดเรา เข้าไปยึดถือมันไว้ เราก็มีความทุกข์มีความ

เดือดร้อนใจ

ปัญญานันทภิกขุ

#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:เสียงที่อยู่ในใจตลอดเวลา อะไรจะเกิดให้มันเกิด สิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...

อาตมาชอบฟุตบอลมาก ตอนอายุ ๗ – ๘ ขวบ เป็นครั้งแรก ที่โยมพ่อพาไปดูบอล ตอนนั้น

เราก็อยู่ใกล้เมืองเซาท์แทมตั้น แล้วก็ไปดูบอล อาตมาดูแล้วรู้สึกว่ามันขาดอะไรสักอย่าง

มันดี มันดีมาก แต่มันขาดอะไรสักอย่าง มันขาดไม่มีพากย์ ก็เราเคยดูกีฬาแต่ในทีวีซึ่งจะมี

พากย์คอยขยาย คอยอธิบาย อยู่ตลอดเวลา ไปดูเขาเล่นจริงๆ นั้นไม่มีพากย์ รู้สึกว่าขาด

อะไรสักอย่าง


จิตใจของเรามีการพากย์อยู่ตลอดเวลา มีวิพากษ์วิจารณ์ ดีใจ

เสียใจ อุทาน มันก็ชินอยู่กับตัวนี้ ทำให้เกิดมีกำแพงระหว่าง

เรากับประสบการณ์ความจริง...คนเราชินกับการมีเสียงอยู่ใน

ใจอยู่ตลอดเวลา เป็นพากย์ เป็นการวิเคราะห์ การสรุปเข้า

ข้างตัว บ้างอะไรบ้าง อันนี้ต้องฝึกให้ไม่ต้องมีพากย์ สงบ ก็ดู

มันไป รู้มันไป อะไรจะเกิดให้มันเกิด สิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็น

ธรรมดา


สิ่งนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา สิ่งใดมีความเกิด มีความดับแล้ว ไม่ใช่เป็นสิ่งไม่มีสาระ ธรรมะที่

ท่านให้ชื่อว่า อมตะธรรม คือไม่เกิดไม่ตาย เราต้องการจะน้อมจิตไปสู่สิ่งที่ไม่เกิดไม่ตาย

เราจะไปหลงใหล จะเพลิดเพลิน จะยึดติดในสิ่งเกิด-สิ่งตาย ไม่ได้ ค่อยๆ วาง วาง วาง

จิตใจก็ผ่องใสขึ้น ความเชื่อ ความตั้งใจมั่นก็ปรากฏ

ชยสาโรภิกขุ

#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Select your language