Dhamma together:เรามีทางเลือกว่าเราจะเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหาหรือจะเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาหรือเราอยู่เฉยๆ หรือกลางๆ

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...


มีสโลแกนดังในยุคที่ท่านอาจารย์ยังเป็นนักเรียน ซึ่งท่านฟังแล้ว

รู้สึกประทับใจมากและฝังใจมาโดยตลอด “If you are not

part of the solution, then you are part of the

problem” “เรามีทางเลือกว่าเราจะเป็นส่วนหนึ่งของการแก้

ปัญหา หรือจะเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาหรือเราอยู่เฉยๆ หรือกลางๆ

ไม่ได้หรอก ถ้าเราไม่ช่วยแก้ เราก็ช่วยก่อ” ในสมัยนั้นมีปัญหา

สังคมมากมาย ทั้งเรื่องความยากจนและความรุนแรงซึ่งเป็นเรื่อง

ที่ท่านอาจารย์สนใจ ท่านสนใจเรื่องการปฏิรูปสังคม ทำอย่างไร

สังคมจึงจะดีขึ้น ทำให้คนยากจนและการเอารัดเอาเปรียบลด

น้อยลง ท่านอยากจะช่วยสังคม 


การออกบวชนั้นไม่ใช่จะเลิกสนใจปัญหาเหล่านี้ ท่านเข้าใจและเชื่อว่า ปัญหาทั้งหลายทั้งปวงล้วนเกิด

จากจิตใจของมนุษย์ การแก้ที่ระบบการปกครองและการจัดระเบียบสังคมคงจะไม่ถึงรากเหง้าของปัญหา

ถ้าจิตใจของคนยังเต็มไปด้วยโลภ โกรธ หลง ระบบใดๆ ก็ตามจะค่อยๆ เสื่อมไป เพราะระบบต่างๆ ไม่มี

อะไรนอกจากผู้ที่อยู่ในระบบ และถ้าผู้อยู่ในระบบขาดคุณธรรม ระบบนั้นจะบังคับให้คนมีคุณธรรมไม่ได้

ฉะนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ จิตใจมนุษย์ เราจึงต้องฝึกและพัฒนาจิต แต่ก่อนที่เราจะพัฒนาจิตใจของคน

อื่นได้ เราต้องพัฒนาจิตใจของเราเองก่อน ท่านอาจารย์จึงออกบวชโดยหวังความสงบ หวังปัญญา และ

หวังการพ้นทุกข์ส่วนตัว แต่ในขณะเดียวกันท่านถือว่าเป็นการช่วยสังคม และเป็นการช่วยเพื่อนมนุษย์ที่ดี

ที่สุดด้วย อย่างน้อยที่สุด ท่านก็ได้งดเว้นจากการเบียดเบียนผู้อื่น แต่ถ้าดีกว่านั้น ท่านก็จะได้ความรู้

ความเข้าใจในเรื่องความเป็นมนุษย์ และจะได้แบ่งปันความรู้นั้นให้คนอื่นต่อไป ท่านอาจารย์แนะนำให้เรา

ตั้งอุดมการณ์เหมือนท่านว่า ชาตินี้ขอเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหา ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของปัญหา ขอเป็นผู้

ช่วยแก้ปัญหา อย่าได้เป็นผู้ก่อปัญหาเลย

ที่มา: 'เรื่องท่านเล่า' หนังสือรวมนิทานที่พระอาจารย์ชยสาโรเมตตาเล่าไว้

เรียบเรียงโดย ศรีวรา อิสสระ

#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:กลัวตรงไหน ให้อยู่ตรงนั้น

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...


อาจจะมีความกลัวเกิดขึ้นได้สำหรับคนที่ไม่คุ้น ให้ถือหลักว่า

เมื่อมีความกลัว สิ่งที่เราควรทำไม่ใช่การกดข่มหรือหนีออกจาก

สถานที่นั้น หลายคนพอกลัวก็จะหนี ทำให้ความกลัวนั้นตามหลอก

หลอนเรา บางคนไม่หนี แต่กลับไปกดข่มแทนซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควร

ทำเช่นกัน สิ่งที่ควรทำก็คือ เมื่อเรากลัวตรงไหนก็ให้เราอยู่ตรงนั้น

เรื่องนี้พระพุทธเจ้าทรงสอนเอาไว้จากประสบการณ์ช่วงที่พระองค์

ยังเป็นพระโพธิสัตว์บำเพ็ญธรรมเพื่อการตรัสรู้ พระองค์ก็เคยกลัว

กลัวจนขนลุกในยามค่ำคืนเมื่ออยู่ลำพังคนเดียวในป่า เวลาสัตว์ป่า

ย่องเข้ามา หรือกิ่งไม้แห้งตกลงมาเพราะนกยูงหรือถูกลมพัด

พระองค์ก็รู้สึกกลัว แต่พระองค์ได้พบว่า 


เมื่อกลัวในอิริยาบถใดก็ให้อยู่ในอิริยาบถนั้น หรือกลัวตรงไหนก็ให้อยู่ตรงนั้นแล้ว

ความกลัวก็จะค่อยบรรเทาลง มันบรรเทาลงเพราะอะไร เพราะเมื่อเราคุ้นเคยกับมัน รู้จักมันดี

เราก็จะพบว่ามันไม่มีอะไรที่น่ากลัว

พระไพศาล วิสาโล

#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:รู้ที่จิต เกิดที่จิต

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...



อย่าไปไขว่คว้าอะไร ให้มันมากมายนัก

ให้กำหนดสติรู้จิต เพียงอย่างเดียว

บาปมันเกิดที่จิต

บุญมันเกิดที่จิต

ดีชั่วเกิดที่จิต

สวรรค์นิพพานเกิดที่จิต

มันไม่ได้เกิดที่อื่น..

หลวงปู่แหวน สุจิณโณ..

#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:มีชีวิตอยู่ด้วยสติปัญญา

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...



พอเราหวังเท่าไร เราก็ผิดหวังเท่านั้น เราก็ผิดหวัง ทันทีเราหวัง

เพราะมันยังไม่มา มันยังไม่ได้ นี้เราจะไปหวังให้ผิดหวังทำไม ฉะนั้น

เราไม่ต้องหวัง เราคิดดี ว่าเราต้องการอะไร เราคิดเสร็จแล้วเราก็ทำ

ที่นี้ก็ทำไปด้วยกำลัง ด้วยสติ ด้วยปัญญา ทำด้วยสติปัญญาไม่กัด

ถ้าทำด้วยความหวังแล้วมันกัดขบ มีชีวิตอยู่ด้วยความหวังนั้นแหละ

ความหวังมันจะกัด มันจะขบอยู่ตลอดเวลาเลย มันเป็นสัตว์ร้าย......

ความหวัง ที่นี่เราไม่มีชีวิตอยู่ด้วยความหวัง เรามีชีวิตอยู่ด้วยสติ

ปัญญา  ระลึกไว้ดีแล้วก็ทำไปๆ เราไม่ต้องหวังให้มันกัดเรา ทีนี้สิ่ง

เหล่านั้นมันก็ดำเนินไปๆ จนถึงเวลาที่มันมีผล มันก็ได้ผลและ ....

พุทธทาสภิกขุ ...

#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:บ่อยครั้งวิธีแก้ปัญหาที่ผู้คนเลือกใช้นั้น กลับเลวร้ายย่ำแย่กว่าตัวปัญหาเสียอีก ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...


หญิงชาวอเมริกันผู้หนึ่ง ต้องการลดน้ำหนักของตน เธอทดลอง

มาหลายวิธีแล้ว แต่ก็ไม่ได้ผล สุดท้ายเธอจึงไปหาซื้อพยาธิ

ตัวตืดมากลืนลงท้อง โทษของพยาธิตัวตืดนั้นมีมากมาย

อาจทำให้ถึงตายได้ อันตรายของมันนั้นมากกว่าการมีน้ำหนัก

เกินเสียอีก คนธรรมดาสามัญย่อมไม่อยากทำร้ายตัวเอง

ขนาดนั้น แต่อะไรทำให้เธอตัดสินทำเช่นนั้น หากไม่ใช่

ความรู้สึกรังเกียจชิงชัง “ความอ้วน”ของเธอ ที่น่าประหลาดใจ

ก็คือ ไม่ใช่เธอคนเดียวที่ทำเช่นนั้น ในฮ่องกงมีคนนับพันที่ยอม

กลืนพยาธิเพื่อลดความอ้วน เวลาประสบปัญหา

<p

บ่อยครั้งวิธีแก้ปัญหาที่ผู้คนเลือกใช้นั้น กลับเลวร้ายย่ำแย่กว่าตัวปัญหาเสียอีก ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น

คำตอบก็คือ ความรู้สึกชิงชังรังเกียจที่มีต่อปัญหานั้น ๆ เมื่อเกลียดมาก ๆ ก็ลืมตัว จนพร้อมจะทำอะไร

ก็ได้เพื่อทำให้ปัญหานั้นหมดไป โดยไม่สนใจว่าจะเกิดผลร้ายตามมา ซึ่งหนักหนาสาหัสกว่าปัญหานั้น

เสียอีก บางคนเกลียดหนูในบ้านมาก ไล่อย่างไร มันก็ไม่ยอมไป แถมทำลายข้าวของหนักขึ้น ทำให้เขา

รังเกียจชิงชังมันยิ่งกว่าเดิม สุดท้ายก็ถึงกับใช้ไฟสุมเผารังของมัน แต่ปรากฏว่าไฟลุกลามจนไหม้บ้านเขา

ทั้งหลัง แม้หนูจะเป็นตัวสร้างปัญหา แต่มันไม่สามารถทำลายบ้านของเขาได้เลย การใช้ไฟไล่หนูต่าง

หากที่ทำให้เขาสูญเสียบ้านทั้งหลัง และทั้งหมดเกิดขึ้นได้ก็เพราะ ความรังเกียจชิงชังหนูนั่นเอง

พระไพศาล วิสาโล

#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:เราทำอย่างไรจะรู้จักว่าสมควรแก่ความปรารถนาของเราแล้ว ทำให้อยู่ได้เป็นสุข

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...



การที่จะมีความสุขแท้จริงนั้น มิใช่อยู่ที่การปรารถนาแล้ว

ได้สมปรารถนาทุกอย่าง หาเป็นเช่นนั้นไม่ แต่อยู่ที่ว่า เราทำอย่างไร

จะรู้จักว่าสมควรแก่ความปรารถนาของเราแล้ว ทำให้อยู่ได้เป็นสุข

ทำจิตใจของเราให้เป็นสุขได้ อันนั้นก็จะทำให้ได้ความสุขที่แท้จริง

ความสุขแท้มิใช่อยู่ที่การสนองความปรารถนาเรื่อยไปที่ไม่จบสิ้น

อีกประการหนึ่งที่ง่ายๆก็คือ ให้มีความปรารถนาที่ชอบธรรม

เอาธรรมะมาเป็นเครื่องจำกัดความปรารถนา คือ มนุษย์ปรารถนา

สิ่งใหม่เข้ามาอยู่เรื่อยๆ ก็จะต้องรู้จักปฏิบัติให้ถูกต้องต่อเรื่อง

ความใหม่และความเก่า ความใหม่บางทีเราก็ไม่อาจจะได้เรื่อยไป

 

ยกตัวอย่างง่ายๆ ร่างกายของเรา เราไม่สามารถจะให้เป็นร่างกายที่ใหม่ได้ตลอดกาล เมื่อวันเวลา

ล่วงผ่าน มันก็เป็นไปตามธรรมชาติ ตอนแรกก็ต้องมีการเจริญเติบโตขึ้นไป เมื่อเติบโตขึ้นสู่วัยหนุ่มสาว

แล้ว ต่อจากนั้นก็ต้องมีความชราเข้ามาเบียดเบียนครอบงำ ร่างกายของเราก็เสื่อมโทรมลงไป ทีนี้ถ้าเรา

ปรับใจไม่ได้ เราต้องการแต่ความใหม่เรื่อยไป ก็เกิดอาการขัดแย้งกับความปรารถนา เพราะคนเราไม่อาจ

จะได้ใหม่เรื่อยไป แต่จะต้องเจอกับเก่าด้วย เพราะมีสิ่งที่จำเป็นจะต้องเก่า และสิ่งใหม่ที่มีก็ต้องกลายเป็น

เก่า นอกจากนั้นก็มีสิ่งเก่าที่เราจะต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง เพราะเราอยู่ในโลก โลกนี้เป็นเรื่องของสังขาร

สังขารนั้นมีหลักธรรมดาว่า ย่อมเป็นไปตามกฎของพระไตรลักษณ์ คือ มีความไม่เที่ยง เป็นทุกข์

เป็นอนัตตา ต้องเปลี่ยนแปลง มีความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ใหม่แล้วก็กลายเป็นเก่า เมื่อเราจำเป็นต้อง

ประสบพบกับสิ่งที่เก่า เราจะทำอย่างไร ความเก่า-ใหม่ที่แท้จริง อยู่ที่ไหน ความเก่าที่เป็นสภาวะตาม

ธรรมชาติของสังขารนี้ก็อย่างหนึ่ง แต่ความเก่าความใหม่ที่มีผลต่อจิตใจของเรานี้ อยู่ที่จิตใจของเรานี่เอง

แท้ๆ

พระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ.ปยุตฺโต) (เรียบเรียงจากส่วนหนึ่งของหนังสือเรื่องกาลเวลา)

#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์...และการดับทุกข์...

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...



เคยสังเกตไหมว่า คนจำนวนมากรักแล้วทุกข์ เพราะเชื่อว่า

รักแล้วจะไม่ทุกข์ ใครมีทุกข์ อย่างน้อยในลักษณะที่รู้สึกว่า

ชีวิตไม่พอ ไม่สมบูรณ์ ไม่มีแก่นสาร หรือขาดอะไรสักอย่าง

เชื่อและหวังว่า ถ้าเขารักใครสักคนและคนนั้นรักเขา

ความทุกข์ในชีวิตจะดับไป จะมีความสุขถาวร ผลก็คือ

ถ้าเขาได้สมปรารถนาในความรักแล้ว ปรากฏว่า

เมื่อความตื่นเต้นในเบื้องต้นของความรักอ่อนลงไปแล้ว

ความทุกข์ในชีวิตคงยังมีอยู่ 

คนที่ตั้งความหวังไว้สูงมักจะเศร้าหรือน้อยใจ ว่ามันไม่ยุติธรรม ถูกหลอก เราน่าจะมีความสุขมากกว่านี้

การมีที่รัก และการเป็นที่รักของคนที่รักเรา คือ ความรู้สึกอบอุ่นก็จริงอยู่ แต่ความทุกข์จะดับไปด้วยการ

ดับอวิชชาเท่านั้น ทุกข์ดับเพราะอวิชชาดับ เพราะตัณหาดับ ไม่ใช่เพราะฉันรักเธอและเธอรักฉัน

ชยสาโรภิกขุ

#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:ปฏิจจสมุปบาทสำหรับปฏิบัติ....

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...



พูดอย่างวิชาหรืออย่างปรัชญามันก็พูดอย่างหนึ่ง พอถึงปฏิบัติมัน

ก็กลายเป็นอีกอย่างหนึ่ง คำพูดไม่เหมือนกัน จะยกตัวอย่างเรื่อง

ปฏิจจสมุปบาทที่ยืดยาว ที่เราสวดกันยาว ๆ นั่นนะ อวิชชาเกิดสังขาร

สังขารเกิดวิญญาณ วิญญาณตลอดสายนั้นน่ะ มันเป็นรูปแบบของ

ปรัชญา ให้รู้ว่าอย่างนั้น เป็นปรัชญาที่มีเหตุผล ที่พอจะเห็นแจ้งได้

พอที่จะทำให้มันเป็นวิทยาศาสตร์ขึ้นมาได้... ทีนี้พอมาถึงคราว

ปฏิบัติ มันมีเพียงแต่ว่า มีสติในเมื่อตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูก

กระทบกลิ่น พูดสั้น ๆ ก็ว่ามีสติเมื่ออายตนะทำงาน สั้น ๆ เท่านี้ มีแค่

นี้ก็พอ ปฏิจจสมุปบาทสำหรับรู้ยาวเฟื้อย

พอปฏิจจสมุปบาทสำหรับปฏิบัติ คือมีสติเมื่ออายตนะทำงาน ก็คือควบคุมได้ที่ผัสสะ เป็นผัสสะแห่งวิชชา

ไว้เสมอ ก็คือปฏิบัติปฏิจจสมุปบาทสำเร็จประโยชน์ทั้งสาย ทุกข์ไม่เกิดนะ มีสติเมื่ออายตนะทั้ง ๖

ทำงานนั่นแหละคือปฏิบัติ เรียกว่าปฏิบัติปฏิจจสมุปบาท ตัวปฏิจจสมุปบาทตั้งสิบสอง อาการ สิบเอ็ด

อาการนั้นน่ะ ยาวเฟื้อยและก็มีเรื่องมาก แล้วก็มันเป็นเรื่องของธรรมชาติ ที่จะเป็นไปอย่างนั้นตาม

ธรรมชาติ เมื่อเราจะควบคุมมัน เรื่องเหลือนิดเดียว ให้มีสติเมื่ออายตนะทั้ง ๖ ทำหน้าที่เท่านั้นแหละ

ก็ควบคุมปฏิจจสมุปบาททั้งหมดได้

พุทธทาสภิกขุ ที่มา : อบรมพระนวกะ ‪#‎จดหมายเหตุพุทธทาส‬ 2115230905080

#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:กตัญญูกตเวทิตาธรรม

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...



การเคารพบูชากราบไหว้ท่านผู้เป็นบิดามารดา บุพการีที่ล่วงลับไปแล้ว

ทั้งหลาย หรือท่านผู้มีพระคุณทั้งหลายก็ตาม มิได้ถือเป็นการปฏิบัติ

แบบถือเป็นที่พึ่ง มิได้เป็นสรนัง คัจฉามิ เพราะฉะนั้น จึงไม่เป็นการผิด

ที่พุทธศาสนิกทั้งหลาย ผู้กล่าววาจาถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม

พระสงฆ์ เป็นสรณะที่พึ่งแล้ว จะแสดงความเคารพคารวะ กราบไหว้

ท่านผู้ทรงพระคุณ แม้ล่วงลับไปแล้วทั้งหลาย เป็นการแสดง

ความมีคุณธรรมสูงส่ง คือ กตัญญูกตเวทิตาธรรม

 

ปุถุชน ผู้ไม่มีญาณหยั่งรู้หยั่งเห็นไปถึงภพอื่น พ้นไปจากภูมิของตนในปัจจุบัน ย่อมไม่อาจรู้ได้ว่า

ท่านผู้มีพระคุณทั้งหลายสถิตอยู่ ณ ภพใด ภูมิใด ในฐานะใด การแสดงความเคารพคารวะ โดยมุ่งแสดง

ความระลึกรู้ผู้มีพระคุณท่าน จึงไม่เป็นความผิด ความงมงาย แตกต่างกับความกตัญญูกตเวที เหมือนสีดำ

แตกต่างกับสีขาว ผู้มีปัญญา เมื่อพิจารณารู้จักความงมงายและความกตัญญูกตเวที จึงปฏิบัติได้ถูกต้อง

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก

#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma togetherรักษาใจให้เป็นปกติ

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...



คนเราเกิดมาก็เป็นทุกข์ แล้วก็มีความแก่ ความเจ็บ ความป่วย

ก่อนที่จะตายก็ต้องประสบกับความพลัดพราก สิ่งเหล่านี้ก็คือ

เหตุที่ไม่พึงประสงค์ ที่มันผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา ประการแรก

คือว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น มันก็อยู่กะเราไม่นาน มันก็ต้องผ่าน

ไปเหมือนกับความมืดที่ต้องหลีกทางให้กับความสว่าง และขณะ

ที่มันยังอยู่ ความมืดยังอยู่รายล้อมตัวเรา แต่เราก็ยังตื่นได้ ไม่ว่า

จะประสบเหตุ ความพลัดพราก ความเจ็บ ความสูญเสีย

ความป่วย นี่คือเหตุการณ์หรือสถานการณ์ แต่ใจเราก็เป็นปกติ

ป่วยก็ป่วยแต่กาย ใจไม่ทุกข์ ทำได้ เสียของแต่ว่าใจไม่เสีย ทำได้ สุขหรือทุกข์ของคนเรามันไม่ได้ขึ้น

กับเหตุการณ์ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมอย่างเดียว คนที่เจ็บป่วยนะแต่ว่าเค้ามีความสุข เค้าสามารถ

ยิ้มได้ เพราะว่าเค้าสามารถรักษาใจให้เป็นปกติหรือว่าเค้าวางใจถูก มีคนนึงเนี่ย เป็นมะเร็ง เป็นตั้งแต่อายุ

ยังสามสิบกว่า จะพูดให้เป็นข้อคิดไว้ดีบอกว่า มะเร็งเนี่ย ไม่ได้ทำให้รอยยิ้มของคุณหายไป

ไอ้ความทุกข์ใจต่างหากที่มันทำและความทุกข์ใจเกิดขึ้นได้จากใจที่ไม่ยอมรับ ใจที่ไม่ยอมรับโรคมะเร็ง

เธอพูดว่า ความจริงบางครั้งก็โหดร้าย แต่การไม่ยอมรับความจริงโหดร้ายกว่า ความจริงที่โหดร้ายก็อาจ

จะหมายถึง ความเจ็บปวด ความพลัดพราก ก็คือมีเหตุการณ์ร้ายหรือสถานการณ์ที่ไม่ดีเกิดขึ้นกะเรา

บางครั้งก็เกิดขึ้น มันไม่ใช่ว่า มีแต่ความสุข ความสมหวัง ความสำเร็จ ความเจริญ ความเฟื่องฟู

อย่างเดียว อันนั้นก็เป็นความจริงเพียงส่วนเดียวของชีวิต ความจริงอีกส่วนหนึ่งก็คือ ความไม่สมหวัง

ความล้มเหลว ความพลัดพราก ความเจ็บ ความป่วย นี้เป็นส่วนนึงของชีวิต เป็นความจริงอันนึง

แต่ความจริงที่ว่าเนี่ย แม้มันจะดูโหดร้าย แต่ว่าการไม่ยอมรับความจริงต่างหากที่โหดร้ายกว่า เพราะมัน

ทำให้ทุกข์ทั้งวันทั้งคืน พอเธอยอมรับความจริงได้ว่า ฉันเป็นมะเร็งนะมันคือสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ปฏิเสธไม่ได้

ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน ปรากฏว่า ความทุกข์ใจที่ทำให้เหวี่ยง ทำให้วีน ทำให้อาละวาดใส่หมอ

ใส่พยาบาล ใส่พ่อแม่ลดลงทุเลาเบาบาง จากคนที่เจ้าอารมณ์ก็กลายเป็นคนที่ใจเย็นขึ้น สงบลง

โรคก็ไม่ได้หายแถมลุกลามด้วยซ้ำ แต่ว่าพอวางใจถูก ทำใจเย็นนะ ความทุกข์ใจก็หายไป ยิ้มได้ แม้จะ

เป็นมะเร็งก็ยิ้มได้ แม้ความตายจะรออยู่ข้างหน้าเราก็ยิ้มได้

พระไพศาล วิสาโล

#หอจดหมายเหตุพุทธทาส #BIA

#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:ภาษาเพลง...ภาษาธรรม...ปลูกเมตตา...ปลูกรักที่แสนหวาน....รักฉันนั้นเพื่อเธอ...

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...



มีเป็นอันมากที่รู้ความเป็นผู้มักโกรธของตน รู้โทษนั้น

เมื่อปรารถนาจะหนีให้พ้นโทษของความโกรธก็พึงรับความจริงว่า

เมตตาเท่านั้นที่จะดับความโกรธได้ เมตตาเท่านั้นที่จะป้องกันมิให้

ความโกรธรุนแรงได้ บางทีจึงใช้วิธีที่ง่าย คือใช้คำภาวนาเมื่อ

ความโกรธเกิดขึ้น เช่น ท่อง พุทโธ พุทโธ แต่แม้จะให้เป็น

ปัญญา ป้องกันความโกรธให้ไกลออกไปเป็นลำดับ ให้เมตตามาก

ขึ้นเป็นลำดับ ก็ต้องเปลี่ยนคำภาวนาอันเป็นสมาธิ ให้มาเป็นคำ

ภาวนาอันเป็นปัญญา คือด้วยการบอกตัวเอง หรือเตือนตัวเองนั่น

แหละว่า "เมตตาไม่พอ เมตตาไม่พอ"

ความสำคัญในการภาวนาว่า "เมตตาไม่พอ" อยู่ที่ ต้องทำใจให้ยอมรับความบกพร่องของใจตน

ว่าเมตตาไม่พอจริง ๆ นั่นแหละ จึงจะเป็นการค่อยผลักดันโทสะที่มีอยู่เต็มโลก ให้ห่างไกลใจตนได้สำเร็จ

เป็นลำดับไป "เมตตาไม่พอ เมตตาไม่พอ" นี้เป็นความจริง ที่ทุกคนตำหนิตนได้ ไม่ใช่ไปตำหนิผู้อื่น

แม้ใช้ “เมตตาไม่พอ” กับผู้อื่นแทนที่จะเป็นคุณ ก็จะกลับเป็นโทษอย่างแน่นอน พึงสำนึกในความจริงนี้

ให้เสมอ วิธีปลูกเมตตา คือ คิดตั้งปรารถนาให้เขาเป็นสุข และคิดตั้งปรารถนาให้เขาปราศจากทุกข์นั้น

เป็นกรุณา ทีแรกท่านแนะนำให้คิดไปในตนเองก่อน แล้วให้คิดเจาะจงไปในคนที่รักนับถือ ซึ่งเป็นที่ใกล้

ชิดสนิทใจอันจะหัดให้เกิดเมตตากรุณาได้ง่าย ครั้นแล้วก็หัดคิดไปในคนที่ห่างใจออกไปโดยลำดับ จนใน

คนที่ไม่ชอบกัน เมื่อหัดคิดโดยเจาะจงได้สะดวก ก็หัดคิดแผ่ใจออกไปด้วยสรรพสัตว์ไม่มีประมาณทุก

ถ้วนหน้า เมื่อหัดคิดได้ดังกล่าวบ่อย ๆ เมตตากรุณาจะเกิดขึ้นในจิตใจ

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

ปลูกเมตตา...ปลุกรักที่แสนกวาน...รักฉันนั้นเพื่อเธอ...

#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:ถ้าทุกคนในประเทศสันโดษกันหมดจะมีการพัฒนาทางเศรษฐกิจได้อย่างไร

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...



บางครั้งมีคนพูดกันว่าคำสอนเรื่องสันโดษทำให้คน

ไม่กระตือรือร้นทำอะไร ถ้าเราพอใจในสิ่งที่มีอยู่จะดิ้นรนแก้ไข

ปัญหาต่างๆ ไปทำไม แล้วถ้าทุกคนในประเทศสันโดษกัน

หมดจะมีการพัฒนาทางเศรษฐกิจได้อย่างไร ที่จริงแล้ว

คำสอนเรื่องสันโดษไม่เคยแยกออกจากคำสอนเรื่อง

ความเพียรชอบและความไม่ประมาทเลย คุณค่าของสันโดษ

อยู่ที่การป้องกันจิตใจของเราไม่ให้ถูกครอบงำด้วยความอิจฉา

ความขุ่นเคืองและความหดหู่เศร้าหมอง ในเวลาที่เราเปรียบ

เทียบตัวเองกับคนที่มีอะไรมากกว่า หรือมัวแต่หมกมุ่นกับสิ่งที่

ยังไม่มี 


แม้ในยามที่เจอสถานการณ์ยุ่งยาก เราควรวางใจให้สงบ มองให้เห็นข้อดีของสถานการณ์นั้นๆ ในระหว่าง

ที่พยายามปรับปรุงแก้ไข เราจึงเป็นสุขได้โดยไม่จำเป็นต้องรอจนกว่าจะบรรลุเป้าหมายในอนาคต

ธรรมะคำสอน โดย พระอาจารย์ชยสาโร แปลถอดความ โดย ปิยสีโลภิกขุ

#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:นิพพานสำหรับทุกคน...

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...

นิพพานไม่ใช่การตายของพระอรหันต์.....



นิพพานนั้น หมายถึงความเย็นเพราะไม่มีกิเลสและไม่

ต้องตาย. ขอให้เข้าใจให้ถูกต้องว่า นิพพาน นี้ไม่ได้

เกี่ยวกับความตาย แต่หมายถึงความเย็น ถ้าตายแล้ว

จะรู้สึกเย็นอย่างไรได้ คนตายรู้สึกร้อนรู้สึกเย็นได้

อย่างไร มันต้องเป็นของคนที่ยังมีความรู้สึกอยู่ คือ

ไม่ตายนั่นเองนิพพานแปลว่าเย็น เมื่อใดไม่มีร้อนเมื่อ

นั้นก็เย็น มันเย็นชนิดที่ไม่มีร้อน

ไม่ใช่เอาของเย็นๆ มากินเข้าไป เช่นว่าเอาน้ำแข็งมากินเข้าไปแล้วมันก็จะเย็น

มันเย็นอย่างนี้ มันอีกความหมายหนึ่ง ท่านจะต้องสนใจให้ดี ให้เข้าใจเรื่องของนิพพาน

จึงจะไม่เสียทีที่เป็นพุทธบริษัท และพระพุทธศาสนาก็จะมีประโยชน์แก่ทุกคนหรือ

ทุกท่าน มันเป็นสิ่งที่มีสำหรับทุกคน ไม่ใช่มีสำหรับสองสามคนหรือไม่กี่คน

ถ้ามีได้เฉพาะแก่พระอรหันต์แล้ว พระอรหันต์ก็มีไม่กี่คน พุทธศาสนาก็ไม่มีประโยชน์

แก่คนทั่วไป มีแก่คนไม่กี่คนอย่างนี้ มันไม่คุ้มค่า; พุทธศาสนาจะต้องเป็นประโยชน์แก่

ทุกคนไม่มากก็น้อย เหมือนกับว่าสระน้ำใหญ่ สระน้ำใหญ่ที่ใครขุดไว้ มันก็มีประโยชน์

แก่สัตว์ทุกชนิดและทุกขนาด สัตว์ตัวโตๆ เช่นช้าง สัตว์ตัวเล็กๆ เช่น กบเขียดหรือเล็ก

กว่าเขียด มันก็ลงไปกินไปอาบได้มีประโยชน์แก่สัตว์ทุกชนิดหรือทุกขนาดดังนี้

มันก็คุ้มค่า. พระนิพพานก็เหมือนกัน

เหมือนกับเป็นสระที่พระพุทธเจ้าท่านขุดไว้ ก็เป็นประโยชน์ได้แก่ทุกคนตามมาก

ตามน้อย โดยสมบูรณ์เต็มที่หรือโดยบางส่วน ก็ตาม มันก็เรียกว่ามีประโยชน์ด้วยกัน

ทั้งนั้นแหละ. แม้คนโง่ไม่รู้จักพระนิพพานเอาเสียเลย เขาก็ยังลงไปกินไปอาบในสระ

แห่งนิพพานนั้นได้โดยไม่รู้สึกตัว ข้อนี้ก็เพราะว่า พระนิพพานเป็นธรรมชาติที่มีอยู่ในที่

ทั่วไป เมื่อบุคคลไม่มีความร้อนใดๆ ก็หมายความว่า กำลังดื่มกินพระนิพพาน.

ทีนี้ก็จะพูดกันถึงความร้อน ความร้อนทั่วๆไป อย่างไฟอย่างนี้ มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

เดี๋ยวนี้หมายถึง ความร้อนในจิตใจ ที่มันเกิดมาจากกิเลส เช่น โลภะ โทสะ โมหะ

เป็นความร้อนแห่งไฟคือกิเลส, ถ้าเมื่อใดความร้อนจากไฟคือกิเลสมันไม่มี เมื่อนั้นก็มี

ภาวะแห่งนิพพาน. นี่เป็นหลักที่สำคัญที่สุดที่จะต้องกระทำไว้ในใจว่า เมื่อใด ไม่มีไฟ

คือ ราคะ โทสะ โมหะ ไม่มี, ก็มีความเย็นอย่างนิพพาน, ถ้ามันไม่มีชั่วคราว มันก็เป็น

ความเย็นชั่วคราว. ถ้ามันมีนิดหนึ่ง มันก็เป็นความเย็นนิดหนึ่ง และมันคงเป็นความเย็น

นั่นเอง; ถ้ามันเป็นความเย็นแล้ว ก็มีความหมายแห่งนิพพาน เป็นเรื่องความเย็นในทาง

จิตใจ ขอให้สนใจดูให้ดีว่า เรามีความร้อนเมื่อไร มีความร้อนใจเมื่อไร มันก็หมาย

ความว่า มีความร้อนที่เกิดมาจากกิเลสเมื่อนั้น เมื่อใดความร้อนชนิดนั้นไม่มี มันก็มีสิ่ง

ที่เรียกว่า นิพพานไม่มากก็น้อยอยู่ในจิตใจ.

ท่านพุทธทาส...

#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา

#พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ฉลาดใช้ #เฉลียวคิด #ชีวิตจักสนุก

สุข สงบ เย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:เป้าหมายชีวิตบุคคล และเป้าหมายของสังคม

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...



เป้าหมายของชีวิต ก็คือสันติสุขของบุคคล เป้าหมายของสังคมก็คือ

สันติภาพของสังคมนั่นเอง มีผู้พูดกันบ่อย ๆ ว่า พุทธศาสนาไม่ค่อย

พูดถึงเรื่องสังคม มีพูดแต่เรื่องการหลุดพ้นของบุคคลเกือบทั้งนั้น

ข้อนี้ก็ขอยืนยันว่ามันจริง ในพระคัมภีร์นั้นมีเรื่องความรอดส่วนบุคคล

ส่วนสังคมนั้นมีบ้าง ไม่ใช่ไม่มีเสียเลย แม้ที่สุดแต่เรื่องสำหรับ

ฆราวาสล้วน ๆ ก็ยังมีอยู่ส่วนหนึ่ง แต่มันไม่มากจึงไม่ควรถือว่าพูดแต่

เรื่องบุคคล และก็มักจะเข้าใจผิดต่อพุทธศาสนาว่า สอนให้หนีเอาตัว

รอดผู้เดียว ข้อนี้ไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้น

ท่านมุ่งหมายอย่างที่ตรัสไว้เองว่า เพื่อประโยชน์สุขแก่มหาชนทั้ง

เทวดาและมนุษย์ คิดดูสิว่า จะมีสังคมไหนที่ใหญ่ยิ่งไปกว่าทั้งเทวดา

และมนุษย์ 

ทรงตรัสว่า ธรรมวินัยนี้ตั้งขึ้นเพื่อประโยชน์แก่มหาชนทั้งเทวดาและมนุษย์ ท่านทั้งหลายจงสืบธรรมวินัยนี้

ไว้เพื่อประโยชน์ทั้งแก่เทวดาและมนุษย์ มันสังคมหมดน่ะ ทั้งเทวดาและมนุษย์ เราจะถือว่าพุทธศาสนา

เป็นเรื่องสอนให้เอาตัวรอดคนเดียว แม้ในหมู่ไทย คนไทยชาวพุทธน่ะก็ชอบพูดอย่างนั้นว่า หนีไปเพื่อ

เอาตัวรอดคนเดียวถ้าใครไปบวช อย่างนี้มันก็เรียกว่า ไม่ถูกต้อง หรือมันหลับตาพูดเกินไป บางคนซัดไป

ถึงกับว่า พระพุทธเจ้าหนีออกบวช เป็นการทิ้งสังคม คือ ทิ้งความรับผิดชอบอีกมากอย่าง นี่ขอเลิกพูด

กันที การที่บุคคลคนหนึ่งออกไปบวช ก็เพื่อจะให้รู้ความดับทุกข์ และสามารถจะช่วยผู้อื่นให้ดับทุกข์ได้

ด้วยถ้าตนรู้แล้ว ถ้าไม่บวชมันก็งัวเงีย ไม่มีความรู้ที่จะช่วยผู้ใด ดังนั้น ตัวเองต้องทำได้เสียก่อน เหมือน

กับคนว่ายน้ำได้เสียก่อน จึงจะช่วยคนตกน้ำได้ ดังนี้ เพราะฉะนั้น ขออย่าได้พูดเมื่อใครออกไปบวชว่า

หนีเอาตัวรอด มีลักษณะเป็นคำประนาม ๆ อยู่นิดหน่อย คือ เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว นี้ไม่ใช่เจตนารมณ์ของ

พุทธศาสนา พุทธศาสนาต้องการจะทำประโยชน์ทั้งแก่เทวดาและมนุษย์ เช่น ออกบวชเป็นพระพุทธเจ้า

แล้ว ก็ทำประโยชน์ทั้งแก่เทวดาและมนุษย์ เป็นพระอรหันต์แล้ว ก็ทำหน้าที่ของพระอรหันต์ ซึ่งเป็น

ประโยชน์ทั้งแก่เทวดาและมนุษย์

พุทธทาสภิกขุ

#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:รู้จักชีวิตตนเองผ่านการรู้จักชีวิตบุคคลที่น่าสนใจ ของจุ๋ม นรีกระจ่าง คันธมาส

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...


ชีวิตของเธอน่าสนใจทีเดียว

เมื่อโชคชะตาทดสอบใจ จุ๋ม-นรีกระจ่าง คันธมาส

หากย้อนเวลากลับไปได้ สิ่งที่จุ๋มอยากเปลี่ยนแปลงมากที่สุดคือเรื่องนิสัยของตัวเอง สมัยที่ร้องเพลงอยู่

กับค่ายเพลงคีตา ตอนนั้นเด็กผู้หญิงจากชนชั้นกลางคนหนึ่งได้รับโอกาสมากมาย กลายเป็นนักร้องที่มี

แต่คนเอาอกเอาใจ สามปีที่อยู่ใน “บ้านคีตา” จุ๋มไม่คิดเลยว่าจะมีวันที่บ้านหลังนี้จะแตกทำให้หลงระเริง

ว่าชีวิตมีแต่คนมาชื่นชม ได้ใช้ชีวิตหรูหราร้องเพลงในงานกาลาดินเนอร์ มีรายได้เดือนละเป็นแสนๆ จึงใช้

อารมณ์กับทุกคนที่อยู่รอบข้าง โดยเฉพาะกับทีมงานจนทำให้เวลาใครเห็นจุ๋มเดินมาก็จะหนีกระเจิง

คล้ายกับว่ายายตัวร้ายมาแล้ว รีบหลบไปดีกว่า ยังไงยังงั้น แต่โชคดีที่ “ความไม่น่ารัก” ของจุ๋มในวันนั้น

เลือนหายไปได้เพราะมีความทุกข์เข้ามาเป็นตัวช่วย …หลังจากค่ายเพลงคีตาปิดตัวลง จุ๋มได้เห็นสัจธรรม

ของความไม่แน่นอน จากที่เราเคย “มี” อะไรในวันนั้น เราก็จะ “ไม่มี” อีกต่อไปวิกฤติครั้งนั้นทำให้จุ๋มหัน

มามองตัวเองชัดๆ อีกครั้ง และพบว่าสิ่งที่ตัวเองเคยทำมานั้นไม่ดีเลย ทั้งใช้อารมณ์ หงุดหงิดง่าย และวีน

ได้ทุกเรื่อง ตั้งแต่ชุดไม่สวยก็โวยวาย รองเท้าไม่ใช่แบบที่ชอบก็โกรธ ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วมีวิธีพูดคุย

จัดการที่ดีกว่านี้ แต่ตอนนั้นกลับเกรี้ยวกราดเอากับคนอื่นตลอดเวลา นี่จึงเป็นหน้าต่างบานแรกๆ ที่เปิดให้

จุ๋มรู้จักตัวเองดีขึ้น จนทุกวันนี้เมื่อพี่ๆ ทีมงานของค่ายเพลงแห่งนี้มาเจอจุ๋มอีกครั้งต่างพูดเป็นเสียเดียวกัน

ว่า “อะไรกันนะที่ทำให้จุ๋มเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้” ถ้าให้อธิบาย จุ๋มต้องบอกว่าจุ๋มได้ค้นพบว่า มนุษย์เรา

มีศักยภาพในตัวสูงมาก เราสามารถที่จะทำทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดี ถ้าเรางัดด้านดีออกมาใช้ เราจะรู้ว่าตัวเอง

ทำอะไรที่เป็นประโยชน์แก่ตัวเองและคนอื่นได้อีกมาก นอกจากนั้นจุ๋มยังได้อ่านหนังสือเยอะมาก

เป็นหนังสือที่เกี่ยวกับศาสนาต่างๆ ทั้งพุทธ คริสต์ ซึ่งทั้งหมดนี้ค่อยๆขัดเกลาจิตใจเราให้อ่อนโยนลง

โดยเฉพาะพุทธศาสนา ที่ช่วยให้จุ๋มเข้มแข็งในขณะที่ชีวิตต้องพบเจอกับมรสุมที่ซัดสาดเข้ามา…

หลังจากที่น้องสาวของจุ๋มตาบอดในปี 2544 อีกราวหกปีต่อมาจุ๋มก็ต้องตั้งสติอีกครั้ง เมื่อสามีล้มป่วย

ด้วยโรคมะเร็ง จุ๋มกับสามีแต่งงานกันเงียบๆ เพราะต่างก็อายุมากด้วยกันทั้งคู่ หลังจากจดทะเบียนสมรสที่

เมืองไทย จุ๋มและสามีวางแผนไปใช้ชีวิตคู่ด้วยกันที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นสถานที่ที่แฟน

จุ๋มทำงานอยู่สัก 2 ปี หลังจากนั้นจะกลับมาใช้ชีวิตที่เมืองไทยด้วยกัน แต่เราใช้ชีวิตคู่อย่างมีความสุขอยู่

ที่ลอนดอนได้เพียงไม่กี่เดือน อาการเจ็บป่วยของสามีก็เริ่มปรากฏให้เห็น เขามีอาการเหม่อลอย

กินอาหารแล้วอาเจียน และมีอาการบางอย่างที่ทำให้เรารู้สึกว่านี่ไม่ใช่ “พี่ตุ้ย” คนเดิม ตอนแรกจุ๋มคิดว่า

เขาคงจะเครียดกับงานมากเกินไป แต่สิ่งที่ปรากฏหลังจากนั้นทำให้รู้ว่าต้องมีความผิดปรกติเกิดขึ้นกับเขา

แน่นอน เพราะวันหนึ่งหลังจากสามีอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ เขาก็เดินไปนั่งสวมรองเท้าที่ม้านั่งหน้าแมนชั่น

เพื่อไปทำงาน ส่วนจุ๋มก็ทำนั่นทำนี่อยู่ในบ้าน แต่พอเดินกลับออกมาอีกที พบว่าสามีนอนหมดสติอยู่ตรง

นั้นแล้ว ในวันนั้นเองเจ้านายของสามีก็ส่งตัวเขากลับประเทศไทยด่วนโดยมีจุ๋มตามกลับมาทีหลัง

ครั้งแรกที่คุณหมอตรวจดูอาการของเขาไม่พบว่ามีความผิดปรกติอะไร เราเลยคุยกันว่าน่าจะเป็นเพราะ

ความเครียด แต่แล้วอาการของเขาก็ทรุดลงเรื่อยๆ จนสุดท้ายคุณหมอต้องเจาะเนื้อเยื่อบริเวณคอมาตรวจ

ผลที่ออกมาทำให้เราสองคนบีบมือกันแน่น คุณหมอบอกว่า เขาเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองระยะสุดท้าย

ฟังแล้วจุ๋มรู้เลยว่า คำว่า “มะเร็ง”มันทำให้คนตายไปแล้วครึ่งตัว แต่สำหรับสามีของจุ๋มเขากลับมีกำลังใจ

ที่เข้มแข็ง และพูดให้เรารู้สึกดีขึ้นว่า เขาจะต้องหาย เพราะเขาเพิ่งแต่งงาน และพูดเล่นกับจุ๋มว่าถ้าทำคี

โมเขาจะไม่หล่อเหมือนเดิมแล้ว จุ๋มเลยได้แต่บอกเขาว่า “ให้หายก่อนเถอะ เรื่องอื่นไม่สำคัญ” จุ๋มตั้งใจ

แต่แรกแล้วว่าจะเป็นภรรยาที่ดี ดังนั้นต่อให้เขาป่วย จุ๋มก็จะอยู่เคียงข้างเขาตลอดเวลา เพราะฉะนั้นระยะ

เวลาเป็นเดือนๆที่เขานอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล จุ๋มก็มานอนที่โรงพยาบาลด้วย ส่วนในช่วงกลางคืนก็

ออกไปร้องเพลงกับศิลปินคนอื่นๆ ของ “Be My Guest” แม้ช่วงเวลานั้นจะผ่านไปอย่างยากลำบาก

แต่จุ๋มคิดว่าจะทำให้เต็มที่ทั้งดูแลสามีและงาน จนวันที่คุณหมอเดินมาบอกว่า สามีคงอยู่ได้ไม่เกินสอง

ชั่วโมงแล้วนั่นแหละ จึงได้เข้าใจอย่างชัดเจนว่าทุกชีวิตไม่ได้เป็นอย่างที่เราต้องการ คนที่เรารักไม่

สามารถจะอยู่กับเราได้อย่างที่ใจคิดจริงๆ ในวาระสุดท้ายของเขา จุ๋มสวดมนต์ให้เขาฟัง โดยมีคุณแม่และ

น้องสาวของเขายืนอยู่ข้างๆ และได้บอกกับเขาว่า “เราจากกันในชาตินี้…แต่สักวันเราจะได้เจอกันในรูป

แบบใหม่” หลังจากนั้นลมหายใจของเขาก็แผ่วลงๆ เรื่อยๆ จนหมดลมหายใจจุ๋มจึงเดินไปบอกพยาบาล

ด้วยใจที่สงบนิ่งว่า “เขาไปแล้ว” โดยไม่ร้องไห้ฟูมฟายแต่อย่างใด เพราะเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอย่างดี

ภาพของเขาในวันที่นอนแน่นิ่ง แบมือให้รดน้ำศพ ยิ่งสอนใจจุ๋มได้หลายอย่าง สอนให้ไม่ประมาทกับ

ความตาย ให้รู้ว่าตัวเราเองก็ไม่สามารถหนีความตายได้พ้น และให้รู้ว่าแม้แต่คนที่เรารักก็ต้องตายจากเรา

ไปไม่วันใดก็วันหนึ่ง หากคนในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่น้องชาย น้องสาว…คนใดคนหนึ่งต้องจาก

เราไป เราก็จะต้องเตรียมตัวเตรียมใจรับให้ได้ อย่าคิดว่า “ยังไม่ถึงคิวของเรา” หรือ “ยังไม่ถึงคิวของคน

ที่เรารัก” เป็นอันขาด ทุกวันนี้แม้สามีจะจากไปแล้ว แต่สำหรับจุ๋มยังรู้สึกเหมือนเขาอยู่ข้างๆ ตลอดเวลา

ยังคอยเป็นกำลังใจให้เราในวันที่อ่อนล้าเช่นเดิม และหลังจากสามีเสียได้ไม่นาน บ้านที่เคยอยู่อาศัยมา

ตั้งแต่เล็กแต่น้อยก็โดนยึด เพราะพ่อนำบ้านไปค้ำประกันให้หลานคนหนึ่ง ถ้าไม่ตั้งสติให้ดี ตอนนั้นจุ๋มคง

ตัดสินใจโกนหัวบวชชีไปแล้ว แต่ด้วยความที่รู้ว่าการหนีไปบวชไม่ได้ทำให้เราเข้าใจชีวิต เป็นได้เพียงแค่

การกลบเกลื่อนความทุกข์เท่านั้น ทำให้จุ๋มใช้เพียงหลักธรรมเป็นหลักยึดเหนี่ยวจิตใจให้ตัวเองและ

ครอบครัว เมื่อไรที่พ่อแม่เริ่มจิตตก เราจะพยายามดึงจิตท่านขึ้นมา อย่างน้องชายเป็นโรคนอนไม่หลับ

แม่ก็จะเป็นทุกข์ว่าทำไมน้องเป็นแบบนี้ทำไมน้องเรียนจบปริญญาโทแล้ว แต่ชีวิตยังไปไม่ถึงไหนเลย

และมีแต่คำถามทำไมๆๆ เต็มไปหมด จนจิตใจหดหู่หม่นหมอง จุ๋มต้องพูดให้ท่านเห็นถึง “ความเป็น

ธรรมดา” ของสิ่งที่เกิดขึ้น ว่าสิ่งใดที่เกิดขึ้นแล้วเราต้องยอมรับมันให้ได้ ไม่ควรหนี ไม่ควรดิ้นทุรนทุราย

แต่ต้องหาทางอยู่กับมันให้ได้ สำหรับจุ๋ม วิธีหนึ่งที่จะทำให้เราอยู่กับปัญหาต่างๆ ได้คือการรู้จักสับคัต

เอ๊าต์ชีวิตตัวเอง เวลาไปทำงานจุ๋มจะไม่แบกความพิการของน้องความตายของสามี ความไม่สมบูรณ์ของ

ครอบครัวขึ้นไปบนเวทีด้วย แต่เราวางไว้ข้างหลัง แล้วทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้ดีที่สุด ให้คนที่เราอยู่ด้วย

ขณะนั้นมีแต่ความสุข ความเบิกบานใจ นอกจากนี้จุ๋มยังเป็นคนค่อนข้างเข้มงวดกับชีวิต เวลาทำอะไรจะ

ทำด้วยใจ ไม่เคยใช้ชีวิตไปวันๆ ถ้ารู้ว่าสิ่งไหนดีจะทำเดี๋ยวนั้นเลย ไม่รีรอ เพราะรู้ว่าเวลาในชีวิตของเรา

เหลือน้อยลงทุกวัน เราต้องเร่งทำแต่สิ่งดีๆ และสิ่งหนึ่งที่จุ๋มทำคือการช่วยเหลืองานของ โรงพยาบาล

ศรีธัญญา ของ กรมสุขภาพจิต บางครั้งที่นี่จะเชิญจุ๋มไปร้องเพลงหรือพูดคุย ซึ่งสร้างแรงบันดาลใจให้

จุ๋มอยากช่วยเหลือคนที่มีความทุกข์ทางใจอย่างจริงจัง นี่คือเหตุที่จุ๋มตัดสินใจเรียนต่อระดับปริญญาโท

ทางด้านจิตวิทยา เพื่อว่าวันหนึ่งข้างหน้าจะได้นำความรู้อย่างเป็นระบบไปช่วยเหลือคนอื่นๆ ต่อไป ยิ่งไป

กว่านั้น จุ๋มยังชอบบริจาคเงินตามตู้รับบริจาคต่างๆ ซึ่งทำให้เราวัดค่าความเห็นแก่ตัวของเราได้อย่าง

ชัดเจน ว่าเราจะเก็บเงินไว้ช็อปปิ้งหรือจะนำเงินส่วนนี้ไปช่วยเหลือผู้อื่น จุ๋มชอบลองดูว่าตัวเองจะทำได้

ไหม ถ้าทำได้ใจเราจะเบิกบานมีความสุข และภูมิใจว่านอกจากจะเลี้ยงดูพ่อแม่และน้องๆ ได้แล้ว

ยังสามารถแบ่งปันให้คนอื่นได้ ที่สำคัญคือ ทำให้เห็นว่าเงินมีค่าก็จริง แต่คนเราสามารถทำตัวให้มีค่าได้

มากกว่าไม่รู้กี่ร้อยกี่พันเท่า ดังนั้น สิ่งที่จุ๋มวางแผนไว้คือการทำรายการ “ธรรมะกับเพลง” ซึ่งจะเป็นการ

หยิบยกเอาเพลงที่ให้กำลังใจมาให้แขกในรายการช่วยกันขบคิดว่าเพลงเหล่านี้ให้แง่คิดดีๆ กับชีวิตเราได้

อย่างไรบ้าง เช่นเพลง“เธอผู้ไม่แพ้” ของ พี่เบิร์ด – ธงไชย แมคอินไตย์ จุ๋มหวังว่าจะช่วยให้คนที่อ่อน

ล้า หมดสิ้นกำลังใจในสังคมยืนหยัดได้อีกครั้ง ณ ตอนนี้หากใครกำลังท้อแท้ จุ๋มอยากส่งความปรารถนา

ดีไปให้และอยากบอกว่า

“ทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมาขอให้ใช้ชีวิตด้วยความตื่นรู้และเบิกบาน"

"ขอให้ผ่านปัญหาทุกอย่างไปได้ด้วยพลังใจอันเข้มแข็งนะคะ” 


• มนุษย์เรามีศักยภาพในตัวสูงมาก เราสามารถที่จะทำทั้งสิ่งที่ดีและ

ไม่ดี ถ้าเรางัดด้านดีออกมาใช้ เราจะรู้ว่าตัวเอง

ทำอะไรที่เป็นประโยชน์แก่ตัวเองและคนอื่นได้อีกมาก

• ตัวเราเองก็ไม่สามารถหนีความตายได้พ้น และให้รู้ว่าแม้แต่คนที่เรา

รักก็ต้องตายจากเราไปไม่วันใดก็วันหนึ่ง หากคนในครอบครัว ไม่ว่าจะ

เป็นพ่อ แม่น้องชาย น้องสาว…คนใดคนหนึ่งต้องจากเราไป เราก็จะ

ต้องเตรียมตัวเตรียมใจรับให้ได้ อย่าคิดว่า “ยังไม่ถึงคิวของเรา” หรือ

“ยังไม่ถึงคิวของคนที่เรารัก” เป็นอันขาด

• ทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้ดีที่สุด ให้คนที่เราอยู่ด้วยขณะนั้นมีแต่

ความสุข ความเบิกบานใจ




• ถ้ารู้ว่าสิ่งไหนดีจะทำเดี๋ยวนั้นเลย ไม่รีรอ เพราะรู้ว่าเวลาในชีวิต

ของเราเหลือน้อยลงทุกวัน เราต้องเร่งทำแต่สิ่งดีๆ

• เงินมีค่าก็จริง แต่คนเราสามารถทำตัวให้มีค่าได้มากกว่าไม่รู้กี่ร้อย

กี่พันเท่า

• อย่าประมาทกับความตาย จงเตรียมตัวรับมืออยู่เสมอ

• รู้จักสับคัตเอ๊าต์ชีวิตตัวเอง

เมื่อมีปัญหาอย่านำไปปะปนกับงานหรือเรื่องอื่นๆ

ต้องเร่งสร้างแต่กรรมดี

เพราะเราไม่อาจรู้ได้ว่าตัวเองจะมีชีวิตยืนยาวแค่ไหน

Secret Box แง่คิดดีๆ จากชีวิตคุณจุ๋ม – นรีกระจ่าง คันธมาส


#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:ภาษาเพลง...ภาษาธรรม....เพื่อเธอ...ให้เธอเป็นมากกว่ารัก.....

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...


รักที่แท้ในพุทธศาสนา คือ เมตตา กรุณา หมายถึง

การปรารถนาให้ผู้อื่นได้ดี มีความสุข และอยากให้เขาพ้นทุกข์

ทั้งหมดนี้อยู่ที่การเอาผู้อื่นเป็นตัวตั้ง แต่ความรักอีกแบบหนึ่งที่

พุทธศาสนาไม่ส่งเสริม เรียกว่า "สิเนหา" หรือที่เราเรียก

"เสน่หา" เพราะมันเป็นความรักที่เอาตัวกูหรืออัตตาเป็นตัวตั้ง

การรักคนอื่นในทางพุทธศาสนานั้นเกิดขึ้นจากสาเหตุหลักๆ คือ

การคลายความยึดติดถือมั่นในตัวตน ส่งผลให้ความเห็นแก่ตัว

ลดลง จิตใจจึงเต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณา


จิตใจที่มีเมตตากรุณานั้นทำให้สามารถรักคนอื่นได้โดยบริสุทธิ์ ปราศจากความอยากครอบครอง

หรือเอามาสนองตัวตน เรียกว่าเป็นจิตใจที่ไร้เขตแดน

อาตมาคิดว่าความรักแบบนี้ต่างจากความรักของฆราวาสหรือของปุถุชนทั่วไป เพราะรักของฆราวาสนั้น

เป็นความรักที่ยึดมั่นถือมั่นว่าต้องเป็นของเรา เช่น ถ้าแต่งงานกับใคร คนนั้นก็ต้องเป็นของฉันทั้งๆ ที่เขา

ไม่มีทางเป็นของเราได้ . ความรักแบบที่มี “ตัวกูของกูเป็นศูนย์กลาง” เป็นความรู้สึกที่พระพุทธเจ้าเรียก

ว่า “สิเนหะ” หรือ เสน่หา ไม่ใช่ความเมตตาหรือกรุณา การได้มาศึกษาและบวชในพุทธศาสนา ทำให้

อาตมาเรียนรู้เรื่องนี้ ได้เห็นความแตกต่างระหว่างความรักทั้ง 2 อย่างนี้ . แต่การที่ปุถุชนจะมีความรู้สึก

ผูกพัน หรือมีความยึดมั่นในตัวกูของกู ถือเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นสิเนหะที่มีเฉพาะกับเพศตรงข้าม

หรือสิเนหะของแม่ที่มีต่อลูก ล้วนเป็นความรักที่มาพร้อมกับความคาดหวังที่ยึดโยงกับตัวตนทั้งสิ้น เช่น

คาดหวังว่าลูกจะต้องเชื่อฟังพ่อแม่ หรือว่าลูกจะต้องเรียนเก่ง เรียนในคณะที่แม่ชอบ ปุถุชนมักมีความ

รู้สึกแบบนี้ เพียงแต่ว่าจะทำยังไงให้ความรักของเรา เป็นความรักที่ขยายวงกว้าง หมายถึงไม่ว่าเราจะรัก

เพื่อน หรือว่ารักพ่อแม่ก็ตาม ก็ขอให้เป็นความรักที่ไม่ใช่เพื่อปรนเปรอตัวเอง แต่เป็นรักด้วยความเมตตา

กรุณา มีความปรารถนาดีต่อเขา โดยไม่ได้มุ่งประโยชน์ของตัวเองเป็นหลัก

พระไพศาล วิสาโล

ให้เธอเป็นได้มากกว่ารักกับเพลง เพลงนี้....

#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:ดีไม่ดี มาจากความคิด

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...



คนเรานี้ ทั้งดีและไม่ดี มาจากความคิดนี่เอง เบื้องต้นถ้ามันคิดไม่ถูก

ก็เรียก มิจฉาทิฏฐิ ความผิดเห็นผิด ส่วนสัมมาทิฏฐิ คือ ปัญญา

เห็นชอบ เมื่อคิดถูกเห็นถูกแล้วมันก็มีความสุขเกิดขึ้น มาจากไหน

มาจากตัวเราเข้าใจ ว่า เออ.. มันเป็นเช่นนี้เอง เห็นถูกต้องนี้ จึง

เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ ..เมื่อจิตของเราคิดผิดจนเห็นผิดแล้วก็เหมือน

ร่างกายนี่กินอาหารที่เป็นพิษ เรามีความเห็นผิด มันก็จะพากันพูดคุย

กันผิดไปด้วย ทำอะไรมันก็ผิดไปหมดเลย เพราะมันผิดตั้งแต่เริ่มต้น

แล้ว ..ความเห็นผิดนั้นเป็นต้นของโรค แล้วความเห็นถูกนั้น เป็นนาย

แพทย์ที่เห็นต้นเหตุของโรคแล้ว จึงจะรักษาได้..

หลวงปู่เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป

#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:ธรรมใดกระทบใจว่าตรงกับที่ตนเป็นอยู่ พึงปฏิบัติ น้อมธรรมนั้น เข้าใจสู่ตน เพื่อแก้ไขให้เรียบร้อย

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...



ผู้ที่มุ่งมาบริหารจิต มุ่งการปฏิบัติธรรมเพื่อความพ้นจากกิเลส

ต้องพิจารณาใจตนในขณะอ่านหนังสื่อหรือฟัง เรียกว่าเป็นการ

เลือกเฟ้นธรรม ธรรมใดกระทบใจว่าตรงกับที่ตนเป็นอยู่ พึงปฏิบัติ

น้อมธรรมนั้น เข้าใจสู่ตน เพื่อแก้ไขให้เรียบร้อย เหมือนที่ท่านกล่าวว่า

"เห็นบัณฑิตใด ผู้มีปกติชี้ความผิดให้ ดุจผู้บอกขุมทรัพย์ให้

ซึ่งมีปกติกล่าวกำราบผู้มีปัญญา พึงคบบัณฑิตเช่นนั้น

มื่อคบท่านเช่นนั้น ย่อมประเสริฐ ไม่เลวเลย"

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก

 

#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:ปล่อยให้เป็นของกลาง

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...



ผู้ใดยึดกายไว้ก็เท่ากับยึดเวรกรรมไว้

ผู้ใดปล่อยกายได้ก็เหมือนกับปล่อยเวรกรรมเสียได้

เวรกรรมก็หมดไปจากกาย

เหมือนแผ่นดินที่เรายึดไว้เป็นกรรมสิทธิ์

มีหลักเขตและหน้าโฉนด มันมักเกิดการแย่งชิง ล่วงล้ำ คดโกง

เป็นเหตุให้เกิดการพิพาทฟ้องร้องกันได้

ถ้าเราไม่ยึดไว้ปล่อยให้เป็นของกลาง เป็นของโลกเสีย

ใครอยากได้ก็เอาไปไม่หวงแหน

เรื่องเดือดร้อนวุ่นวายพิพาทบาดหมางกัน

ก็จะไม่เกิดขึ้น เช่นนี้เราก็จะสบายใจ

ท่านพ่อลี ธัมมธโร

#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Select your language