Dhamma together:นิพพานเป็นธรรมะที่ปฏิบัติได้จริง

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...


อันคำว่า “นิพพาน” นั้น ดูจะเข้าใจกันโดยมากว่า

เป็นธรรมะสุดเอื้อม คือ เป็นธรรมะที่ไม่อาจจะได้จะถึง

ได้เลย ด้วยมีความเข้าใจผิดไปเสียเช่นนี้ จึงไม่สนใจ

ที่จะขวนขวายศึกษาปฏิบัติให้เข้าใจให้เกิดผล นิพพานดู

เหมือนจะเป็นสิ่งมืดมิด ลี้ลับ เข้าใจไม่ได้ และเป็นธรรมะ

สูงสุดเอื้อมของผู้มีความเข้าใจผิดเช่นนั้นไปจริงๆ

แต่ความจริงแล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะธรรมะทั้งนั้น

ที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนล้วนประกอบด้วยลักษณะ

๓ ประการ คือ รู้ได้ มีเหตุที่อาจตรองตามได้

ปฏิบัติได้จริง


และนิพพานก็เป็นธรรมะข้อหนึ่งที่ตรัสสอนไว้ จึงเป็นธรรมะที่รู้ได้ มีเหตุที่อาจตรองตามได้

และปฏิบัติให้บรรลุได้ ที่ว่ารู้ได้ก็คือ รู้ได้ด้วยอาศัยเหตุผลเปรียบเทียบระหว่างทางตรงกันข้าม

๒ ทาง ทางหนึ่งมีกองไฟ คือ กิเลส อีกทางหนึ่ง ไม่มีกองไฟ คือ กิเลส จิตใจของสามัญชน

คือ เราทั้งหลายนี้แหละมีกิเลส ซึ่งเป็นกองไฟ จึงมีความร้อน ส่วนจิตใจของท่านผู้บรรลุ

นิพพานแล้วไม่มีกิเลส คือ ไม่มีกองไฟ จึงไม่มีความร้อน เมื่อไม่มีความร้อนก็ต้องมีความเย็น

ก็ต้องเป็นสุข ไม่เป็นทุกข์ แม้การเปรียบภาวะของกิเลสกับภาวะของนิพพานอาจจะไม่เหมือน

ทีเดียวนักกับการเปรียบดังกล่าว แต่ก็พอจะเป็นทางให้รู้ธรรมะ คือนิพพานได้พอสมควร

เหมือนรู้จักความแตกต่างระหว่างความเย็นกับความร้อน ที่ว่านิพพานมีเหตุที่อาจตรองตามได้

ก็คือ มีธรรมะตรงกันข้ามกับนิพพานเป็นเหตุ บรรดาผู้มีกิเลส คือ ผู้มีธรรมะตรงกันข้ามกับ

นิพพานนั้น แม้สังเกตย่อมรู้ภาวะแห่งจิตใจตนว่าร้อน ว่าไม่เป็นสุข ว่าเป็นทุกข์ และแม้จับ

ภาวะแห่งจิตใจตนเป็นเหตุตรอง ไปให้ถึงภาวะแห่งจิตใจที่ตรงกันข้ามกับภาวะจิตใจของตน

ย่อมจะประมาณได้ว่า ภาวะจิตใจที่ตรงกันข้าม ย่อมไม่ร้อน ย่อมเย็น ย่อมเป็นสุข ย่อมไม่เป็น

ทุกข์ อันเป็นลักษณะตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ที่ว่านิพพานเป็นธรรมะที่ปฏิบัติได้จริง ก็เพราะ

ผู้ปฏิบัติธรรมะไปสู่นิพพานจะบรรลุนิพพานได้จริง ดังที่พระอรหันตสาวกทั้งหลาย ท่านบรรลุ

กันแล้ว พ้นทุกข์ พ้นการเวียนว่าย ตายเกิดกันแล้ว

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก

#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:อะไรคือสิ่งเดียวที่รู้แล้ว เราจะรู้ทุกสิ่ง

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...

วันหนึ่งขณะที่อาตมายังเป็นวัยรุ่น จำได้ว่าเดินเข้าไปในห้องสมุดขนาดใหญ่แล้วรู้สึกท้อแท้

เป็นที่สุด สมัยนั้นอาตมากระหายความรู้มาก อยากรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ในวินาทีนั้น

อาตมารู้ว่าต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิตอยู่แต่ในห้องสมุด ไม่ทำอะไรเลยนอกจากอ่านหนังสือ

อาตมาก็อ่านได้เพียงส่วนน้อยนิดจากจำนวนหนังสือที่เก็บไว้ทั้งหมด อาตมายืนนิ่งงันอยู่

ตรงนั้นและรู้สึกท่วมท้น อาตมาระลึกถึงคำถามของนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ชาวอินเดียท่านหนึ่ง

ที่ถามว่า

“อะไรคือสิ่งเดียวที่รู้แล้ว เราจะรู้ทุกสิ่ง”



อาตมาตระหนักว่าคำตอบข้อนี้เป็นของธรรมดาที่สุด

เราไม่จำเป็นต้องอ่านหนังสือทุกเล่มที่มีอยู่ในโลกนี้

แต่จำเป็นต้องศึกษาและทำความเข้าใจจิตใจของตนเอง

มีความรู้มากมายที่เราต้องเรียนรู้เพื่อเอาตัวรอดในโลกนี้

และทำให้ชีวิตเจริญก้าวหน้า แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด

คือ การรู้จักตัวผู้รู้

ธรรมะคำสอน โดย พระอาจารย์ชยสาโร

#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:จิตอาสา

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...



จิตอาสา ก็คือ จิตที่ไม่นิ่งดูดายต่อสังคม หรือความทุกข์ยาก

ของผู้คน และปรารถนาเข้าไปช่วย ไม่ใช่ด้วยการให้ทาน

ให้เงิน แต่ด้วยการสละเวลา ลงแรงเข้าไปช่วย และด้วยจิตที่

เป็นสุขที่ได้ช่วยผู้อื่น จุดที่ควรเน้นก็คือจิตอาสาไม่ใช่แค่

การทำประโยชน์เพื่อผู้อื่นหรือเพื่อส่วนรวมอย่างเดียว

แต่ยังเป็นการพัฒนาจิตวิญญาณของเราด้วย

จิตอาสาต้องเกิดจากจิตที่มีความเมตตากรุณา รวมทั้งมีทัศนคติที่เห็นความเชื่อมโยงระหว่าง

เรากับสังคม เรากับเพื่อนมนุษย์ คือเห็นว่าความสุขของเราต้องแยกไม่ออกจากความสุขของ

ผู้อื่นด้วย มองในแง่ธรรมะ นั่นก็คือ การลดอัตตาหรือตัวตน ซึ่งจะช่วยทำให้ชีวิตเติมเต็มและ

มีคุณค่า ฉะนั้น จิตอาสาจึง ไม่ใช่แค่การช่วยเหลือผู้อื่นเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นการทำให้

ชีวิตของเรามีประโยชน์และมีคุณค่ามากขึ้น

พระไพศาล วิสาโล

#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:การรู้ว่าเกิดมาทำไมนั่นแหละสำคัญอย่างยิ่ง

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...


การที่เราทำอะไรไม่ถูกต้องตามที่ควรจะทำนั่น

ก็เพราะเราไม่รู้ว่าเราเกิดมาทำไม ถ้าใครๆก็ตามรู้ว่า

เกิดมาทำไม เขาก็จะกระทำให้ถูกต้อง ตามที่ว่าเรา

เกิดมาทำไม เมื่อเราไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม เราก็ทำอะไร

เปะๆปะๆ เหมือนกับว่าเรากำลังหลับตาทำ ทำไป

ทำไมก็ไม่รู้ มีคนเป็นอันมากทำสิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะ

เขาไม่รู้ว่าเขาเกิดมาเพื่อจะทำอะไร ปัญหามันก็เกิด

ขึ้นในโลกนี้เต็มไปทั้งโลก คือเกิดสิ่งที่ไม่พึง

ปรารถนาที่กระทำโดยบุคคลเหล่านั้น ผู้ที่ไม่รู้ว่าเกิด

มาทำไม วุ่นวายไปหมด 


ถ้าทุกคนในโลกรู้เสียว่าเกิดมาทำไมเท่านั้นแหละเขาก็จะทำแต่สิ่งที่ควรจะทำ โลกนี้ก็จะไม่มี

ปัญหา ไม่มีความยุ่งยากอย่างใดเลยดังนั้นจึงถือว่า การรู้ว่าเกิดมาทำไมนั่นแหละสำคัญ

อย่างยิ่ง ถูกแล้วเราไม่ได้ตั้งใจที่จะเกิดมา จะแก้ตัวว่าฉันไม่ได้ตั้งใจที่จะเกิดมา ฉันไม่ต้องรับ

ผิดชอบเรื่องนี้ อย่างนี้มันไม่ได้หรอก เพราะเดี๋ยวนี้มันเกิดมาแล้ว แต่มันเกิดเป็นอยู่อย่างที่เรา

กำลังเป็นอยู่ ปัญหาที่แท้จริงมันก็มีอยู่ว่า เมื่อเกิดมาอย่างนี้แล้วเราจะต้องทำอะไร จะต้องทำ

อย่างไร นี่แหละคือตัวปัญหาที่แคบเข้ามา ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ขอให้ท่านทั้งหลายสนใจว่าเกิดมา

แล้วจะต้องทำอะไร ลองไม่รับผิดชอบในเรื่องนี้สิ จะได้รับทุกข์ทรมานอย่างยิ่ง ยิ่งกว่าที่จะไม่

ได้เกิดมาเสียอีก เราจะต้องทำอย่างไร ตอบอย่างกำปั้นทุบดินว่า เราจะต้องทำชนิดที่เราจะ

ไม่เป็นทุกข์ จะต้องมีความสุขเป็นที่พอใจ สูงยิ่งขึ้นไป เป็นลำดับ ๆ จนกระทั่งสูงสุดที่เรียกว่า

พระนิพพาน นี่ส่วนตัวเราต้องทำอย่างนี้ นี้ที่เกี่ยวกับบุคคลอื่น เราจะต้องทำให้เกิดประโยชน์

แก่ทุกคน เพื่อไม่มีใครเดือดร้อน เราก็จะอยู่กันอย่างมีความสุข เพราะว่าใครๆจะอยู่คนเดียวใน

โลกไม่ได้ เมื่อมันอยู่ร่วมกัน มันก็ต้องร่วม ต้องอยู่ร่วมกันอย่างอย่างดี จะอยู่ร่วมกันอย่างดีก็

ต้องมีคนดี นั้นเราจึงต้องช่วยกันทำให้มีคนดี แล้วอยู่ร่วมกันกับคนดีก็จะไม่มีปัญหา จะไม่มี

ความทุกข์ นี่เราต้องได้คือตัวเราไม่มีความทุกข์ และเราสามารถทำประโยชน์ให้เกิดขึ้นแก่

ทุกฝ่าย เกิดมาแล้วต้องทำอย่างนี้ มิฉะนั้นแล้ว ไอ้การเกิดมานั่นแหละจะเป็นบาป เขาถือกัน

ว่าเกิดมานี่เป็นกุศล ได้เกิดมาได้เป็นกุศล ไม่แน่ ถ้ามันเกิดมาแล้วมันทำไม่ถูกต้องกับเรื่อง

ของการเกิดมาแล้ว มันก็ต้องได้รับทุกข์ได้รับโทษ การเกิดก็เป็นบาปเป็นอกุศล ไม่ใช่ตัวบุญ

เสียแล้ว การเกิดกลายเป็นตัวบาปไปเสียแล้ว ดังนี้ จะต้องให้มันเป็นกุศล ก็ต้องทำให้ถูกต้อง

ตามเรื่องนี้ ทุกคนอยากอยู่ไม่อยากตาย นี่เห็นได้ชัด ดูทุกคนมันดิ้นรนต่อสู้อย่างไม่ยอมตาย

ไม่อยากตาย แต่มันก็ทำไม่ถูก มันก็ยังทำไม่ถูก มันก็อยู่อย่างทนทุกข์ทรมานอยู่นั่นเอง

มันทำไม่ถูกในเกี่ยวกับความเกิด แล้วมันก็ฆ่าตัวตายประชดความเกิดบ่อยๆ มีคนฆ่าตัวตายปี

หนึ่งหลายหมื่นรายทั่วทั้งโลกนี้ มันก็แก้ปัญหาอะไรไม่ได้ มันมีแต่จะต้องทำให้ถูกตามที่

ความจริงมีอยู่ว่า เกิดมาจะต้องทำอะไร เกิดมาแล้วต้องประพฤติธรรมะ อย่าให้เกิดความทุกข์

ส่วนตน คือบังคับตนให้อยู่ในกระแสแห่งความถูกต้อง มีความคิดเห็นถูกต้อง มีความปรารถนา

ถูกต้อง มีการพูดจาถูกต้อง มีการทำการงานถูกต้อง ดำรงชีวิตถูกต้อง มีสติควบคุมตัวถูกต้อง

มีความพากเพียรถูกต้อง แล้วก็มีจิตตั้งมั่นดำรงอยู่ในสภาพที่ถูกต้อง เรียกว่ามีความถูกต้อง

แปดประการ ตามหลักแห่งพระพุทธศาสนา แล้วก็จะไม่มีปัญหาอะไรเลย ตนเองก็จะมี

ความสุข ก้าวหน้าไปในทางของพระนิพพาน และเมื่ออยู่ในความถูกต้องแปดประการนั้นแล้ว

ผู้อื่นก็พลอยได้รับประโยชน์ เราทำความถูกต้องของเรา แต่ผู้อื่นกลับได้รับประโยชน์

พลอยได้รับประโยชน์ นี้นับว่าเป็นบุญเป็นกุศลอย่างยิ่ง สำหรับผู้ที่ได้เกิดมาร่วมเป็นเพื่อนเกิด

แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทุกรูปทุกนาม

พุทธทาสภิกขุ 

#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:เห็นประโยชน์อย่างสัมมาทิฏฐิ เห็นโทษอย่างสัมมาทิฏฐิแล้ว มันก็วางเท่านั้นแหละ

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...



อปัณณกะหลักที่สำคัญคือ ข้อปฏิบัติที่ไม่ผิด

ถ้าเรากระทบทั้งตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันไม่ยินดียินร้าย

นั่นแหละ คือเราไม่เป็นทาสอารมณ์นั่นแหละ คือเรา

ไม่หลงอารมณ์ ไม่ต้องหลงรูป เรามีการสังวรสำรวมอยู่

อย่างนี้เรียกว่ามีการสอบอารมณ์ของเรา ไม่ต้องให้ใคร

สอบเพราะของเหล่านี้มีอยู่ในเราหมดแล้ว ของที่เรามีอยู่

แล้วนี้ ไม่จำเป็นจะต้องให้ผู้อื่นลำบากแก่เรา เราควรสอบ

เอาเองซิ ที่มันกระทบมาแล้วมันยินดีไหม ? เออ...มันยัง

ยินดีอยู่ มันยังยินร้ายอยู่ เพราะอะไร ? หาเอาเองซิ

เรารู้มาแล้วว่าอารมณ์นี้มันเป็นอย่างนี้ เราหลงอารมณ์แล้วนี่ เราจะสอบอารมณ์ของเรา

แก้ซิทำไมมันยินดี ? เพราะอะไร ? ต้องดูซิ เพราะเราทำความเข้าใจว่า อันนั้นเราชอบ

อุปาทานมันเกิดเราก็เข้าใจอันนั้นดี เพราะเราปรุงแต่งขึ้นมา เราชอบจึงดี อันนั้นเราไม่ชอบ

ปรุงแต่งไปก็ไม่ยินดี เป็นของร้าย มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น ที่ดี หรือร้าย เราเอาเข้าไปใส่ใน

ตรงนั้น แต่ความจริง อารมณ์มันไม่อะไร มันเป็นกับบุคคลที่ไปหมายมั่นยึดมั่นมัน ถ้าดีก็ยึดว่า

มันดี ร้ายก็ยึดว่ามันร้าย เหมือนโลกนี้ โลกนี้มันเป็นปกติของมันอยู่อย่างนี้ เราว่ามันไม่ดี

หรือว่าเราว่ามันดี สารพัดอย่าง โลกมันก็เฉย มันเป็นปกติของมันอยู่ ตัวเราเองนี่ซิไม่เป็นปกติ

เดี๋ยวชอบอันนี้ เดี๋ยวชอบอันนั้น เดี๋ยวนินทาอันนี้ อย่างนี้นะ เราเองเสือกไสไปยึดมั่นถือมั่น

อย่างนั้น ฉะนั้นจะปฏิบัติในที่สงบให้รู้จักว่า อันนี้คือสอบอารมณ์ จนกว่าที่ตา หู จมูก ลิ้น

กาย ใจ มันสัมผัสอารมณ์มาแล้วทุกอย่าง มันจะวางตัวเป็นกลางๆ ไม่ยินดียินร้าย นี่

เพราะอะไร ? ถ้ายินดีก็ไม่ถูก มันจะนำทุกข์มาให้เรา ถ้ายินร้ายก็ไม่ถูก มันจะนำทุกข์มาให้เรา

เมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็เป็นทาสของอารมณ์อยู่ เป็นทาสของตัณหา เป็นทาสของความอยากอยู่

ตลอดเวลา ไม่ใช่ทางที่จะพ้นทุกข์ เมื่อมันติดอารมณ์อยู่อย่างนั้น เราก็รู้จักว่าอารมณ์เป็น

อย่างนี้ เราก็เรียกว่าสอบอารมณ์ เรารู้จักมันอยู่ เราก็แก้ไปเรื่อยๆ นี่ปฏิบัติไม่ผิด จนกว่าจะ

เห็นโทษมัน เห็นโทษในการยึดมั่นถือมั่นในความร้าย เห็นโทษมันอย่างแท้จริงมันก็วาง

และมองเห็นประโยชน์จากการปล่อยวาง นี้ก็มีประโยชน์ เห็นประโยชน์อย่างสัมมาทิฏฐิ

เห็นโทษอย่างสัมมาทิฏฐิแล้ว มันก็วางเท่านั้นแหละ มันจะไปตรงไหนล่ะ ?

จะปฏิบัติขนาดไหน ? ถ้าไม่เห็นโทษแล้ว มันเป็นไปไม่ได้ ถ้าไม่เห็นประโยชน์ แน่นอนก็หมด

ศรัทธา เมื่อเราดูอารมณ์แล้วเห็นโทษก็ละ เมื่อเห็นประโยชน์ลำบากก็ทำได้ เท่านี้เอง!

ราจะรู้อารมณ์ก็เป็นสัมมาปฏิปทา ถ้าเป็นเช่นนี้เป็น อปัณณกปฏิปทา* ไม่ผิด เป็นข้อปฏิบัติ

อย่างนี้ เป็นข้อพิจารณาอย่างนี้ไม่ผิด คือไม่ยินดียินร้าย เกิดแล้วดับไป วางมันอย่างนั้น

ตลอดไป เป็นอุเบกขา การปฏิบัติท่านให้ดูอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันสัมพันธ์ติดต่อ

กันอยู่นี่ จะโกรธ จะเกลียด มันก็รู้จักกันอยู่ตรงนี้ มันไม่รู้ที่อื่น ถ้าอารมณ์ยินดีก็ยินดีจนหลง

เมาอารมณ์ดีก็เมาดี อารมณ์ร้ายก็เมาร้าย ทำไมจะไม่รู้จักว่า เราปฏิบัติผิด ปราชญ์ท่านพูดไว้

ถูกแล้ว..

หลวงปู่ชา สุภัทโท ที่มา ทางให้เกิดปัญญา

#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:การปฏิบัติไม่ผิดในที่ ทุกสถาน

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสสอนให้ปฏิบัติเป็น อปัณณกปฏิปทา คือการปฏิบัติไม่ผิดในที่

ทุกสถาน ดังเช่นที่ตรัสไว้แก่นายบ้านผู้หนึ่งซึ่งเมื่อกราบทูลถามว่า ได้มีสมณะพราหมณ์หลาย

จำพวกผ่านมาที่หมู่บ้านนั้น และก็ได้แสดงวาทะสอนต่างๆ กัน เช่นจำพวกหนึ่งก็สอนว่า

ทานที่ทำแล้วไม่มีผล การบูชาที่บูชาแล้วไม่มีผล ผลของบาปบุญที่ทำแล้วไม่มี มารดาบิดา

ไม่มี สมณะพราหมณ์ที่ชื่อว่าผู้ปฏิบัติชอบไม่มี

อีกจำพวกหนึ่งก็มาสอนตรงกันข้ามว่าทานที่ให้แล้วมีผล การบูชาที่บูชาแล้วมีผล ผลของบาป

บุญมี มารดาบิดามี สมณะพราหมณ์ที่ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติชอบมี

อีกจำพวกหนึ่งก็มาสอนว่า บุญบาปที่ทำไม่ใช่ว่าเป็นบุญไม่เป็นบาป คือไม่มีการกระทำที่เป็น

บุญเป็นบาป ส่วนอีกจำพวกหนึ่งก็มาสอนว่าบุญบาปที่ทำมี คือทำบุญก็เป็นบุญ ทำบาปก็

เป็นบาป เมื่อเป็นดั่งนี้จะปฏิบัติอย่างไร



พระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสสอนให้ปฏิบัติทำกายกรรม วจีกรรม

มโนกรรมของตนให้บริสุทธิ์ คือว่าให้เว้นจากการฆ่า ให้เว้น

จากการลัก ให้เว้นจากความประพฤติผิดในกามทั้งหลาย

ก็เป็นอันประพฤติทำกายกรรมให้บริสุทธิ์

เว้นจากพูดเท็จ เว้นจากพูดส่อเสียด เว้นจากพูดคำหยาบ

เว้นจากพูดเพ้อเจ้อเหลวไหล ก็เป็นอันทำวจีกรรม

ให้บริสุทธิ์ 

ไม่โลภเพ่งเล็งทรัพย์สมบัติของผู้อื่นมาเป็นของตน ไม่พยาบาทมุ่งร้ายหมายทำลายผู้อื่น

ไม่เห็นผิดแต่มีความเห็นชอบตามทำนองคลองธรรม ก็เป็นอันทำมโนกรรมให้บริสุทธิ์

และเมื่อปฏิบัติดั่งนี้ ก็ปฏิบัติตั้งสติ ทำสัมปชัญญะคือความรู้ตัว มีจิตไม่ฟั้นเฟือน ตั้งมั่นอยู่ใน

ทางที่ถูกต้อง ชื่อว่าเป็นการปฏิบัติที่ไม่ผิด ชื่อว่าเป็นการปฏิบัติถือเอากฎได้ หรือถือเป็น

กฎเกณฑ์ได้ ว่าจะประสบความสุขสวัสดีในที่ทุกสถาน โดยไม่ต้องคำนึงถึงวาทะต่างๆ ของ

สมณะพราหมณ์ทั้งหลายดังกล่าว เพราะว่าทานที่ให้แล้วจะมีผลหรือไม่มีผลก็ตาม

ผลของบุญบาปจะมีหรือไม่มีก็ตาม บุญบาปที่ทำแล้วจะเป็นบุญบาป หรือไม่เป็นบุญบาปก็ตาม

แต่ผู้ที่ปฏิบัติตนดั่งนี้จะต้องไปดีเสมอ ไปดีในโลกนี้ ถ้าโลกหน้ามีก็ไปดีในโลกหน้า แม้ว่าถ้า

โลกหน้าไม่มีก็ชื่อว่าได้เป็นผู้ปฏิบัติตนไว้โดยชอบ เป็นการปฏิบัติไม่ผิด

สมเด็จพระญาณสังวร

สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/somdej/sd-201.htm

 

#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:ทำให้เกิดประโยชน์ จากการนับถือพุทธศาสนา

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...


“เราได้พระพุทธศาสนา เป็นศาสนา ประจำจิตใจของเรา

เราก็จำเป็น ที่จะต้องให้ พระพุทธศาสนา ที่ประจำจิตใจ

ของเรานั้น ให้เกิดประโยชน์ ไม่สักแต่ว่า เรานับถือ

พระพุทธศาสนา แล้วเราก็ ไม่ทำสมาธิ แล้วเราก็ไม่ทำ

สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ในการที่จะ ส่งเสริมพระพุทธศาสนา

อย่างนี้ก็เป็นอันว่า ไม่ถูกต้อง เพราะฉะนั้น การที่เราจะ

ทำให้ พระพุทธศาสนานี้ เจริญหรือมั่นคง ก็จำเป็น

ที่จะต้องมีสมาธิ เป็นตัวประกอบ ที่มีความสำคัญ

เป็นอย่างยิ่ง แล้วการทำสมาธิ เป็นสิ่งที่ไม่ยาก ไม่ยาก

การเปิบข้าว ยังยากว่า 


การทำสมาธิ ยังง่ายกว่าเปิบข้าว อย่างนี้เป็นต้น เราต้องการ ทำสมาธิเมื่อไร เดินจงกรม

นึกพุทโธ เราอยากจะ ทำสมาธิเมื่อไร ก็นั่งขัดสะหมาด ขาขวาทับขาซ้าย วางไว้บนตักแล้ว

นึกพุทโธ ก็เป็นสมาธิ เรานั่งขัดสะมาดไม่ได้ เรานั่งเก้าอี้ หรือเรานั่งที่ไหนแล้ว เราก็หลับตา

นึกพุทโธก็เป็นสมาธิ การเป็นสมาธินี้ ไม่ใช่สมาธิธรรมชาติ เป็นสมาธิ ที่เราได้ทำขึ้นมา

พัฒนาขึ้นมา”

พระพรหมมงคลญาณ (พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)

ประธานผู้ก่อตั้งสถาบันพลังจิตตานุภาพ

อนุโมทนาขอบคุณ ผู้มีส่วนในธรรมะสาระ และภาพประกอบนี้

จากหนังสือ ธรรมะรุ่งอรุณ เล่ม ๒ หน้า ๑๓๑ w.i.f.18 huahin

ธัมม์นิยม...แบ่งปัน

#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา

#พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:เครื่องทุ่นแรงของจิตใจ

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...




เราอย่าหลงผิดเข้าใจผิดไปว่า ความเจริญในด้านวัตถุ

จะเป็นเครื่องช่วยทำให้เราเป็นสุข ความเจริญในด้านวัตถุ

นั้นเป็นเครื่องอำนวยความสะดวกเท่านั้น ให้เราสะดวกใน

การกิน การใช้ การอยู่ การไป การมา การใช้สอยอะไร

ต่างๆ ดีขึ้นกว่าสมัยก่อน เพราะฉะนั้นการที่เราอาจคิด

ไปว่า เดี๋ยวนี้โลกมันเจริญ มีอะไรต่างๆดีขึ้น มนุษย์เรา

ก็สะดวกสบายดีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นอะไรที่จะต้องหันเข้าหา

ธรรมะ หรือหันเข้าหาพระศาสนา อันเป็นสิ่งที่คนโบราณ

เขาถือกันว่าเป็นสิ่งสำคัญเพราะอะไรๆ มันก็สะดวกอยู่แล้ว

 

นั่นแหละคือการเข้าใจผิด เลยละทิ้งสิ่งที่มีคุณค่าแก่ชีวิตเสีย ไม่ได้เอามาใช้ในชีวิตประจำวัน

แต่ถ้าเรามาศึกษาธรรมะไว้บ้าง อย่างน้อยๆ ก็พอจะได้เป็นแนวทาง เป็นเครื่องเตือนจิตสะกิด

ใจให้รู้จักใช้ธรรมะเป็นเครื่องมือ เพื่อปลงความหนักอกหนักใจลงไปทิ้งเสียบ้าง การยกของ

มันต้องมีเครื่องมือ ยิ่งในสมัยนี้ของมันหนักๆ ที่เราใช้ มันต้องมีเครื่องทุ่นแรง เป็นเครื่องมือ

สำหรับที่จะยกจะวาง หรือจะเอาไปตั้งตรงนั้นตรงนี้ ธรรมะก็เป็นเหมือนกับเครื่องทุ่นแรงของ

จิตใจ ทำให้เราเอาไปใช้เป็นเครื่องแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน เช่นมีเรื่องหนักใจขึ้นมา

หนักอื่นมันไม่ร้ายเท่ากับหนักใจ หนักข้าวหนักของยกไม่ไหวก็ทิ้งไว้นั่นก็แล้วกัน แต่ว่าของที่

หนักข้างในมันทิ้งไม่ได้ มันต้องแบกไปตลอดเวลา เป็นภาระที่เกาะจับอยู่กับตัวเรา อารมณ์

ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในใจของเราก็เหมือนกัน มันเกาะจับอยู่ในจิตใจของเรา หนักอึ้งอยู่ตลอดเวลา

ถ้าเราไม่มีเครื่องมือสำหรับที่จะปลดมันออก เราก็ต้องเป็นทุกข์เจียนตายได้รับทุกข์ขนาดหนัก

ปัญญานันทภิกขุ

#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:เหนือปัญหาทั้งปวง....

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...


คุณค่าทางภูมิปัญญาของชาวพุทธน่ะมันสูงสุดเท่าไร

ก็มุ่งหมายจะกำจัดความเห็นแก่ตัว...ทุกศาสนามุ่งหมายจะสอนความไม่เห็นแก่ตัว

แต่ไม่มีใครปฏิบัติ สมาชิกแห่งศาสนาไม่ปฏิบัติ มันเห็นแก่ตัวเสียเรื่อย บางทีเห็นแก่ตัวจนเอา

ศาสนาเป็นเครื่องมือแสวงหาประโยชน์ เอาศาสนาเป็นเครื่องมือข่มขี่ศาสนาอื่น อย่างนี้มัน

ก็หมด มันไม่มีภูมิปัญญาที่ถูกต้องตามหลักแห่งพระศาสนา ทีนี้ชาวพุทธ พอรู้ รู้ รู้ รู้ รู้ มันจึง

มีถูกต้องตามหลักที่สำคัญสูงสุด คือกฎของธรรมชาติ ทั้งสากลจักรวาล ก็มีกฎอันนี้ ถูกต้อง

ตามกฎของสากลจักรวาล มันทำผิดอะไรๆ ไม่ได้ มันก็อยู่เหนือปัญหาโดยประการทั้งปวง


พูดว่าเหนือปัญหาทั้งปวง นี่ มันดีกว่าที่จะพูดว่า

เหนือความทุกข์ เพราะว่าความสุขก็เป็นปัญหานะ

อย่าเป็นคนโง่ เห็นแต่ว่าความทุกข์เป็นปัญหา

แม้ความสุขมันก็เป็นปัญหา ให้เราอยู่เหนือปัญหาเสีย

ดีกว่า โลกไม่เป็นปัญหาแก่เรา ไม่ว่ามันจะมาในแง่บวก

หรือแง่ลบ โพซิทีป หรือ เนกาทีฟ ไม่เป็นปัญหาแก่เรา

ไม่หัวเราะ ไม่ร้องไห้ ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ เสียใจไม่ไหว

มันจะตายเอา ถึงดีใจมันก็กระหืดกระหอบเหมือนกันแหละ

ดีใจเกินไปมันก็นอนไม่หลับ กินข้าวไม่ลง


ฉะนั้นอย่าดีใจ อย่าเสียใจ คือ ปกติ ปกติ ปกติ ไม่หัวเราะ ไม่ร้องไห้ เพราะว่าอยู่เหนือปัญหา

โดยประการทั้งปวง ชีวิตนี้ไม่เป็นปัญหา ชีวิตนี้ไม่กัดเจ้าของ คนไม่มีธรรมะอันถูกต้อง

คือไม่ตื่น ไม่เบิกบาน ชีวิตมันกัดเจ้าของ ไปดูเอาเองเถอะ ไม่ต้องเชื่ออาตมา คนโง่มันถูก

ชีวิตเองแหละกัดตัวเอง เดี๋ยวความรักกัด เดี๋ยวความโกรธกัด เดี๋ยวความเกลียดกัด

เดี๋ยวความกลัวมากัด เดี๋ยวความตื่นเต้น ตื่นเต้นนั่นนี่กัด เดี๋ยววิตกกังวลกัด

เดี๋ยวอาลัยอาวรณ์กัด เดี๋ยวอิจฉาริษยากัด เดี๋ยวความหวงกัด เดี๋ยวความหึงกัด

นี่ชีวิตมันกัดเจ้าของ ผู้ไม่มีภูมิปัญญาแห่งพุทธะ

พุทธทาสภิกขุ

#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:"สังสารจักร"

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...




"..เรื่องของโลก มีความเป็นไปด้วยความหมุนเวียน

หมือนวงจักร ฉะนั้น คนเราซึ่งอาศัยอยู่ในโลกจึงมี

ทั้งสุขและทุกข์ เป็นไป ตามอาการของโลก คือ

"สังสารจักร"

คราวใดที่คนเราหมุนไปถูกวงทุกข์

ก็รู้สึกว่าโลกนี้ช่างแคบเสียเหลือเกิน

ถ้าคราวใดหมุนไปถูกวงสุข

ก็รู้สึกว่าโลกนี้กว้างขวางสดชื่นเป็นที่น่าอยู่อย่างยิ่ง

ที่เป็นดังนี้ ก็เพราะตัวเราไปหมุนตามโลก

จึงยังไม่รู้จักโลก

ที่แท้จริง.....

ถ้าเราหยุดหมุนเมื่อไร เราก็จะรู้จักธรรมดาของ "โลก" และรู้จักความเป็นจริงของ "ธรรม"

ขณะใดที่เราวิ่งไปตามโลกเราจะมองไม่เห็นโลกได้ถนัด ฉะนั้น เราจำเป็นต้องหยุดวิ่งเสียก่อน

แล้วเราจึงจะมองเห็นโลกได้ชัดเจน.."

ท่านพ่อลี ธมฺมธโร ที่มา : โลกกับกรรมฐาน

#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:ชาตินี้หวังนิพพานได้แน่นอน....

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...



การเจริญกรรมฐานขอบรรดาท่านพุทธบริษัท

ให้ถืออารมณ์ธรรมดาเป็นสำคัญ ยามปกตินะ อย่าถือว่า

เวลาสงัดที่เรานั่งสมาธิเป็นเวลาสำคัญ เวลานั้นก็สำคัญ

ถือว่าเวลานั้นเป็นการฝึกเพื่อการทรงตัวของจิตที่เป็น

กุศล อารมณ์ที่เป็นกุศลนี่ต้องการให้มีความรู้สึกเป็น

ประจำตอนกลางวัน หรือยามปกติทำงานอยู่ก็ตาม

เลิกงานแล้วก็ตาม เวลาไหนก็ตาม มันว่างนิดจิตก็คิด

ขึ้นมาเองไม่ต้องบังคับ คิดว่าความทุกข์อย่างนี้เกิดขึ้นมา

เพราะเราเกิด

เราเกิดเพราะอะไร เพราะกิเลส คือความเศร้าหมองหรืออารมณ์ชั่วของจิต ตัณหา คือ

ความทะเยอทะยานอยากได้ตามกำลังที่กิเลสสั่ง อุปาทาน มีความยึดมั่นถือในว่า ไอ้สิ่งที่

กิเลสสั่งสอนเป็นของดี ยึดมั่นไม่ปล่อย อกุศลกรรม ทำด้วยความไม่ฉลาด ตามกิเลสสั่ง

ก็รวมความว่า อาการทั้ง ๔ อย่างนี้เป็นปัจจัยให้เราเกิด เวลานี้เราจะตัดกิเลส ตัณหา

อุปาทาน และอกุศลกรรม เราจะตัดแบบไหนก็ตัดแบบง่ายๆ คือ

๑. ไม่ลืมความตายของชึวิต

๒. ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์

๓. มีศีลหรือกรรมบถ ๑๐ ให้ครบถ้วน เป็นการทรงความสงบของจิต

๔. ตัดกิเลสตัวสุดท้าย ตัดฉันทะ คือความพอใจในการเกิด เกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดาหรือ

พรหม ตัดราคะ เห็นว่าการเกิดในเมืองมนุษย์มันสวยสดงดงาม เทวดาหรือพรหมสวยสด

งดงาม อย่างนี้เราไม่ต้องการ ต้องการจุดเดียวคือ นิพพาน ถ้าคิดอย่างนี้เพียงแค่ ๒ นาทีนะ

วันละวาระ สองวาระก็ดี คิดให้เป็นประจำ ถ้าเป็นประจำได้ก็ดี เฉพาะเวลาจำกัด เวลาที่บังคับ

อย่างตั้งใจว่า ถ้าตื่นเช้าเราจะคิดอย่างนี้ ก่อนหลับเราจะคิดอย่างนี้ แล้วต่อมาใหม่ๆ มันเผลอ

บ้าง อะไรบ้าง ระยะหลังๆ ต่อไปพอตื่นปั๊บ อารมณ์คิดทันที แล้วพอใกล้จะหลับหัวถึงหมอน

ก็คิดทันที อย่างนี้ถือว่าเป็นฌาน อารมณ์เป็นฌานแล้ว ในวิปัสสนาญาณขั้นสูงสุด คือ

การไม่ติดในมนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก ถือว่าตัดอวิชชา อารมณ์อย่างนี้ทรงตัว

บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท คำว่าทรงตัวไม่ได้หมายความถึงทั้งวันนะ อย่าเผลอ ฆราวาสจะ

ทั้งวันไม่ได้ พระก็ทั้งวันไม่ได้ เอายามว่างที่โอกาสมีขึ้น จิตมันนึกอย่างนี้จริงๆ ทุกคน

บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทชายหญิง ชาตินี้หวังนิพพานได้แน่นอน...."

ธรรมโอวาท หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง

#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:จริยธรรมและสัจธรรม

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...



ธรรมในพุทธศาสนาแยกได้เป็นสองอย่างเท่านั้น

คือ จริยธรรมและสัจธรรม จริยธรรมคือความดีเป็น

สิ่งที่ต้องทำ ถ้าอยากมีความสุขก็ต้องทำ ต้องทำ

จึงจะมีชีวิตที่ผาสุกและเจริญงอกงามได้

ส่วนสัจธรรมคือความจริง เป็นสิ่งที่ต้องเห็นหรือ

เข้าถึง การปฏิบัติธรรมถ้ากล่าวอย่างย่อๆ ก็มีแค่

สองเท่านั้น คือทำความดี และเห็นความจริง

ทำความดีได้แก่ การให้ทาน การรักษาศีล

รวมทั้งการภาวนาที่ทำให้คุณภาพจิตเจริญงอกงาม

 


แต่เท่านั้นยังไม่พอ เราต้องฝึกจิตให้เห็นความจริงด้วย ความจริงนั้นมีมากมาย อาจจะเรียกว่า

ไม่น้อยกว่าดวงดาวที่อยู่บนฟากฟ้า หรือที่อยู่ในจักรวาลนี้ พระพุทธเจ้าเคยเปรียบความจริง

ทั้งหลายในโลกนี้ เหมือนกับใบไม้ในป่า คราวหนึ่งพระพุทธองค์ได้ประทับที่ป่าประดู่ลาย

และหยิบใบไม้มากำมือหนึ่ง ตรัสถามพระสาวกว่าใบไม้ในมือของพระองค์กับใบไม้ในป่า

อันไหนมีมากกว่ากัน พระสาวกก็ตอบว่าใบไม้ในป่ามีมาก ใบไม้ในกำมือพระองค์มีน้อย

พระพุทธองค์ก็ตรัสว่า ธรรมะที่พระองค์สอนก็เหมือนกับใบไม้ในกำมือ น้อยกว่าความจริง

ทั้งหลายในโลกและจักรวาลนี้ ความจริงมีมากมายนับประมาณไม่ได้ มหาศาลมาก

แต่ความจริงที่พระพุทธเจ้าเอามาสอนนี้มีเพียงน้อยนิด เช่น ความจริงเกี่ยวกับรูปนาม

ความจริงเกี่ยวกับกฎแห่งกรรม ความจริงเกี่ยวกับเหตุแห่งทุกข์ คือปฏิจจสมุปบาท ความจริง

ที่เกี่ยวกับการดับทุกข์ คือปฏิจจสมุปบาทฝ่ายนิโรธวาร รวมทั้งความจริงเกี่ยวกับไตรลักษณ์

พระไพศาล วิสาโล

#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:เราคิดอย่างไรก็กลายเป็นคนอย่างนั้น...

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...


คนที่คิดทางบวกเป็นคนที่โชคดีและได้กำไรเสมอ

ส่วนคนที่คิดในทางลบ แม้เรื่องดี ๆ ผ่านเข้ามาในชีวิต

ก็ยังไม่รู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์กับตน

วิธีคิดบ่งบอกอนาคต กำหนดชะตากรรม

เราคิดอย่างไรก็จะกลายเป็นคนอย่างนั้น

คิดบวก ชีวิตก็เป็นบวก

คิดลบ ชีวิตก็ติดลบ 


[ว.วชิรเมธี]

#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:ความเป็นแม่ที่ถูกต้องสมบูรณ์ช่วยสร้างรากฐานของมนุษย์ในโลกที่ดี

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...



แม่มาก่อน ถึงก่อน สอนก่อน อะไรก่อน ก่อนทั้งนั้น

สมกับที่เรียกว่าเป็นครูคนแรกแล้วสร้างดวงวิญญาณ

ของทารกตั้งแต่จุดแรก ตั้งแต่ปรมาณูแรกก็แล้วแต่จะ

พูดเถอะ นั่นแปลว่าทั้งเนื้อทั้งตัวของเรานี่ แม่ให้มา

มากกว่า ไอ้เนื้อตัวนี่ก็ออกมาจากแม่ แบ่งภาคมาจาก

แม่ มันก็กินนมแม่ซึ่งเป็นเลือดในเนื้อในตัวของแม่

มันก็เอามาเป็นส่วนที่เป็นเนื้อเป็นตัว ทีนี้ในส่วนที่เป็น

จิตเป็นวิญญาณมันก็แบ่งมาให้ คืออบรมให้ ใส่ลงไป

ให้ในจิตในวิญญาณก่อนพ่อ ที่จริงจะเห็นว่าแม่เป็น

บุคคลที่มาถึงก่อน มาก่อนใส่อะไรลงไปก่อน 

ก่อนใครหมด ในจิตในวิญญาณของเรามีแต่สิ่งที่แม่ใส่มาให้ก่อนใคร ก่อนสิ่งใด เรียกว่า

พ่อเป็นผู้คุ้มครองมากกว่า แม่เป็นผู้ให้เกิดให้กำเนิดทั้งทางกายและทั้งทางจิต พ่อสร้างชีวิต

แม่สร้างวิญญาณ มีชีวิตมันสำคัญอยู่ที่มีวิญญาณอันถูกต้องหรือไม่....

อาตมาขอร้องให้ผู้ที่มีแม่ แต่ตัวเองก็กำลังเป็นแม่และจะเป็นต่อไปได้รู้สึกในความรับผิดชอบ

ในความหมายของคำว่าแม่กันให้เพียงพอ เพราะว่าอันนี้มันเป็นรากฐาน ความเป็นมนุษย์

ที่ถูกต้องจะเป็นรากฐานของการมีธรรมะ การที่เราจะมีธรรมะต่อไปอย่างอื่นๆ นี่มันขึ้นอยู่กับ

รากฐานเดิม ที่มันถูกต้องและมันครบถ้วน อาตมาจึงบอกท่านทั้งหลายว่าที่ตั้งใจจะมาศึกษา

ธรรมะ ดับทุกข์มรรคผลนิพพานกันนี่ มันขึ้นอยู่กับสิ่งเหล่านี้ แต่ถ้ามันมีความเป็นแม่และ

ความเป็นลูกที่ไม่ถูกต้อง อย่าหวังเลย ป่วยการ พูดเพ้อไปเปล่าๆ ที่ว่าจะปฏิบัติธรรมะจะ

ศึกษาธรรมะอะไรให้มันก้าวหน้า มันเป็นไปไม่ได้ พูดเพ้อกันไปเปล่าๆ ที่สร้างรากฐานต่ำที่สุด

นี่คือความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง อาศัยความเป็นแม่ที่ถูกต้องสมบูรณ์ช่วยสร้างรากฐานของ

มนุษย์ในโลกที่ดี แล้วคนเหล่านี้ก็พร้อมที่จะมีธรรมะศึกษาธรรมะให้ก้าวหน้าสืบต่อไป

พุทธทาสภิกขุ

#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:พักใจ ไว้ในปัจจุบัน ด้วยการเดินจงกรม

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...


เดินจงกรมเป็นวิธีพักใจอีกอย่างหนึ่ง แต่แทนที่

จะน้อมจิตมาอยู่กับลมหายใจเข้าและออก ก็ให้มา

อยู่กับการย่างเท้าทั้งสอง โดยเดินกลับไปกลับมา

อย่างช้า ๆ ระยะทางประมาณ ๓-๕ เมตร

ทอดสายตาไปที่พื้นประมาณ ๑.๕ เมตรจากตัว

ระหว่างที่เดินก็ให้รับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของเท้า

โดยไม่ถึงกับเพ่งหรือจดจ่อที่เท้า เมื่อใจเผลอไป

คิดถึงเรื่องใดก็ตาม ทันทีที่รู้ตัวก็ให้พาจิตกลับมา

อยู่ที่การเดิน


ทั้งนี้ไม่ต้องไปสนใจว่าเมื่อกี้คิดอะไร ทำไมถึงคิด ให้ปล่อยวางความคิดโดยไม่ต้องอาลัย

ขอให้สังเกตว่าเมื่อใดที่จิตเผลอคิดออกไปนอกตัว จิตจะไม่รับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของร่างกาย

หรือเท้าที่ก้าวเดิน จนบางครั้งลืมไปด้วยซ้ำว่ากำลังเดินอยู่ แต่เมื่อรู้ตัวว่าเผลอ แล้วกลับมา

อยู่กับการเดิน ความรู้สึกตัวจะกลับมาแจ่มชัด และรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของร่างกายรวม ๆ

อีกครั้งหนึ่ง ความรู้ตัวและความรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของร่างกาย จึงสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด

ใหม่ๆ อาจจะยังวางจิตไว้ไม่ถูก คือ แทนที่จะรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของเท้า ก็ไปเพ่งหรือ

จดจ่อที่เท้า แม้จะทำให้จิตฟุ้งน้อยลง แต่ก็อาจทำให้เครียดได้ง่าย เมื่อใดที่รู้สึกเครียด ก็ให้

ผ่อนจิตลงมา เพียงแค่ให้รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของเท้าก็พอ วิธีนี้แม้จิตจะเผลอออกไปนอก

ตัวบ่อยกว่า แต่การรู้ตัวว่าเผลอครั้งแล้วครั้งเล่า จะทำให้สติปราดเปรียวว่องไวขึ้น ช่วยให้

เผลอน้อยลง และมีความรู้สึกตัวต่อเนื่องขึ้น ยิ่งมีความรู้สึกตัวต่อเนื่องมากเท่าไร จิตก็จะยิ่ง

โปร่งเบาและแจ่มใสมากเท่านั้น อย่างไรก็ตาม การเดินจงกรมนั้นมีหลายแบบ นอกจากที่

กล่าวมาแล้ว ก็ยังมีการกำหนดจิต ไปที่การเคลื่อนของเท้าอย่างละเอียดถี่ยิบ ตั้งแต่ยกเท้า

ย่างเท้า แล้วเหยียบพื้น เป็นต้น

พระไพศาล วิสาโล

ผู้สนใจควรศึกษาเพิ่มเติมจากผู้รู้

https://buddhapathnet.blogspot.com/2017/12/blog-post_8.html 

#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:อัญญโต

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...


เมื่อมีธรรมะหรือพระพุทธเจ้าอยู่ในใจแล้วจะเห็นโลก

ทั้งหลายเป็นอย่างไร แล้วโลกอันวิปริตนี้จะไม่ทำอะไร

แก่เราได้ ตามหลักของพระพุทธภาษิตนั้น มีอยู่คำเดียว

สั้น ๆ ซึ่งคนไม่รู้ก็จะหัวเราะเยาะว่า "เห็นโดยประการอื่น"

จากที่เขาเห็นกัน บาลีมีคำสั้นๆ ว่า “อฺญญโต”...

บาลี 3 คำสั้นๆ ว่า อัญญโต โดยประการอื่น ต้องเห็นโดย

ประการอื่น... คนที่ไม่เข้าใจเรื่องนี้ ไม่ทันได้เข้าใจเรื่องนี้

ก็จะหัวเราะว่าบ้าแล้วๆ เห็นผิดจากคนทั้งโลก มันบ้าแล้ว

ก็ไม่ยอมว่าไอ้คนทั้งโลกมันเห็นไม่ถูกต้อง


เมื่อเห็นผิดจากที่คนธรรมดาสามัญทั้งโลกเขาเห็นกันอยู่นั่นแหละคือถูกต้อง...

พูดให้ชัดอีกหน่อยก็ว่า ธรรมจักษุมันจะเห็น เห็นโดยการเป็นประการอื่นจากที่คนทั้งโลกเขา

เห็นกันอยู่ จากความโง่เขลา คือ เห็นของที่มันเที่ยงว่าไม่เที่ยง เห็นของที่ไม่ใช่สุขว่าสุข

เห็นของที่ไม่ใช่ตัวตนว่าตัวตน อย่างนี้เป็นต้น มันก็พอแล้ว แต่จะแจกให้มันมากกว่านี้ก็ได้

ไม่น่ารัก ไม่ควรรักก็เห็นว่าน่ารัก ที่มันเสียดแทงเผาลนก็เห็นว่ามันสนุกสนานเอร็ดอร่อยดี

เป็นอัสสาทะของกามารมณ์ ก็เห็นเป็นของเอร็ดอร่อยดี ที่แท้เป็นความเผาลน ไม่เห็นเป็น

สิ่งเผาลน... ก่อนนี้เราเห็นตามอำนาจของอวิชชา คือ ปล่อยมาตามเรื่องราวของสัตว์ผู้ไม่ได้

รับการอบรม ไม่เคยได้ยินธรรมะของพระอริยะเจ้า ไม่ได้รับคำสั่งสอนในธรรมะของพระ

อริยะเจ้า ปล่อยมาตามบุญตามกรรมตั้งแต่อ้อนแต่ออด คลอดมาจากท้องมารดา

ตามสิ่งแวดล้อมอย่างไร มันก็เกิดความรู้สึกขึ้นมาเอง ว่าน่ารัก น่าพอใจ ว่าเที่ยงแท้

ว่าเอาเป็นของเรา แล้วก็มีความติดมั่น ยึดมั่น ถือมั่นในสิ่งเหล่านั้นจนเป็นนิสัย สันดาน

เรียกว่า มีอนุสัย ความเคยชินที่จะเป็นอย่างนั้น... เดี๋ยวนี้จะเป็นไป "โดยประการอื่น"

จากที่เคยเป็นอย่างนั้น จะไม่รู้สึกอย่างนั้น จะไม่เห็นอย่างนั้น แล้วก็จะไม่สะสมเป็นอนุสัย

จะไม่ทำให้อาสวะไหลนอง นี่เรียกว่า โดยประการอื่น เห็นอะไรโดยประการอื่น รู้สึกอะไร

ประการอื่น จากที่เคยเห็นมาแล้ว มันก็เปลี่ยนแล้ว พูดง่ายๆ ก็เปลี่ยนจากปุถุชนไปเป็น

อริยะเจ้า อริยชน คนชนิดนี้เท่านั้นที่จะเหมาะที่จะอยู่ในโลกที่แสนจะวิปริตดังที่กล่าวมาแล้ว

ข้างต้น ถ้าอยากจะอยู่ในโลกที่แสนจะวิปริตก็รีบสร้างธรรมะอันนี้ ให้เป็นเกราะหุ้มกันภัยไม่ให้

จิตใจกระทบกันกับเขี้ยวของโลกอันแสนจะวิปริต เรียกว่า อยู่ในโลกก็ไม่ถูกเขี้ยวงู ไม่ถูกเขี้ยว

ของโลกนั่นเอง ไม่ต้องนั่งร้องไห้อยู่ ไม่ต้องเป็นทุกข์นอนไม่หลับอยู่ แล้วก็ไม่ต้องหัวเราะใน

ความโง่เขลาเมื่อได้ ไม่เป็นทุกข์เป็นร้อนเมื่อเสีย ไม่หลงใหลในเรื่องได้เรื่องเสีย มีจิตใจที่อยู่

เหนือความหมายการได้-การเสีย อยู่เหนือความล่วงไปแห่งเวลา ซึ่งมีค่าขึ้นมาเพราะอำนาจ

ของตัณหา เวลามีค่าเพราะมีตัณหา เพราะอำนาจของตัณหา เวลาจึงมีค่า พวกคนที่พูดกันว่า

เวลามีค่า เพราะพูดไปอย่างเป็นทาสของตัณหานั้น มันอยากอะไร ต้องการอะไร มันจึงพูด

อย่างนั้น แล้วสอนกันมาแต่ไหนแต่ไร พวกฝรั่งพูดมากเสียอีกว่าเวลามีค่า แล้วคนไทยก็รับกัน

มาว่า เวลามีค่าอย่าให้ค่าของเวลาสูญไป ก็จริงถูกแล้ว เพราะมันมีตัณหา ถ้าไม่ได้ตามตัณหา

ต้องการมันนั่งร้องไห้อยู่ แล้วก็ทำให้ทันแก่เวลา แต่นี่เรามันไปไกลกว่านั้น เราจะขยี้เสียทั้ง

ตัณหา ขยี้เสียทั้งเวลา ถ้าทำลายตัณหาก็เท่ากับว่าทำลายค่าของเวลา เวลาก็ไม่มีค่า ไม่มา

ทำให้เราร้อนอกร้อนใจ นี่เราใช้เวลาอย่างเป็นอิสระกว่าแต่ก่อน ทำแต่ในทางที่ควรทำ ไม่มี

มากมายอะไร แล้วก็ไม่ต้องมีความทุกข์ เรื่องเป็นห่วง เรื่องร้อนใจ เรื่องไม่ได้ทันเวลา แล้วก็

ห่วงอยู่ ร้อนใจอยู่ เหมือนกับตกนรกทั้งเป็นนี้จะไม่มีอีกต่อไป เราจะต้องไม่เหมือนกับตกนรก

ทั้งเป็นอีกต่อไป ในโลกที่มันชวนให้เป็นอย่างนั้นยิ่งขึ้น คือ โลกที่วิปริต

พุทธทาสภิกขุ

#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา

#พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ฉลาดใช้ #เฉลียวคิด #ชีวิตจักสนุก

สุข สงบ เย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:เครื่องพึงระลึกของสติ

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...



การใช้สิกขาบทต่าง ๆ เป็นเครื่องฝึกสติ เช่น ศีลห้าข้อ

ที่ถูกเข้าใจว่าเป็นข้อห้ามของพระพุทธเจ้า ที่จริงไม่ใช่

ข้อห้าม เป็นเรื่องของการฝึก ใช้เป็นเครื่องพึงระลึก

ของสติ ความระลึกได้ สติต้องมีเครื่องระลึกมันจึงจะ

ะลึกได้ บางทีเราก็จะใช้สิกขาบทต่าง ๆ เช่น ถ้ายุงกัด

ตามสัญชาตญาณหรือความเคยชินเราก็จะตบ

แต่ถ้าเรารับศีลข้อแรกเราก็ทบทวนศีลข้อนั้นทุกวัน ๆ

มันก็อยู่ในใจเรา พอเราจะตบยุงนั้น ตามความเคยชิน

ก็ระลึกได้ เกิดสติว่าไม่ได้หรอกเราสมาทานศีลแล้ว

เรียกว่าศีลช่วยให้สติ เกิดขึ้น เพราะสติมีที่จับ มีที่เกาะ

ชยสาโรภิกขุ

#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:จิตรู้เท่าปลงวางตามสภาพ

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...




ทุกขลักษณะของร่างกาย มันเป็นได้เพียงลักษณะอาการเท่านั้น

แต่ไม่มี "ผู้เสวยทุกข์" นั้น จิตต่างหากเป็นผู้เสวยทุกข์นั้น

เราต้องแยกจากกัน ดูอย่างนี้

ดังนั้นถึงร่างกายนี้มันจะวิบัติแปรปรวนยังไง

ถ้าจิตรู้เท่าทันปลงวางตามสภาพ

จิตก็ไม่หวั่นไหวไปตามร่างกายนั้น

มีแต่ร่างกายอย่างเดียวแปรปรวนไป เป็นอย่างนั้น เราต้องเข้าใจ

หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ

#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:ปรับเปลี่ยนวิธีคิด

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...





โดยธรรมชาติของมนุษย์ ยิ่งเกลียด ยิ่งได้อยู่ใกล้

ยิ่งโกรธก็ยิ่งถูกแกล้ง เขาทำอะไรลงไป ดูเหมือนจะขัดใจ

ขวางหู ขวางตาไปหมด เพราะเราตั้งใจไว้ผิดเสียแล้ว

เพียงแต่เห็นก็เป็นทุกข์ เขาทำปากขมุบขมิบอยู่ไกล

ไม่ได้ยินเสียง เรายังคิดว่า เขากำลังด่าเราได้ นั่นเป็นเรา

ทุกข์เพราะความคิด ทุกข์เพราะจินตนาการ เป็นความผิด

ของเราเอง ไม่ใช่ความผิดของเขา บางทีเขาแกล้งให้เรา

เป็นทุกข์ เพราะรู้ว่าให้ยาพิษแล้ว เรายินดีรับมาดื่มเป็น

ความผิดของเราเอง เรากำลังจุดไฟภายในเผาเราเอง

ต่างหาก

เป็นเรื่องที่น่าคิดว่า มนุษย์เรา ชอบมองหาความผิด ชอบจับเอาความผิด เค้นหาความผิดของ

คนอื่น ส่วนความผิดของตนกลับกลบเกลื่อน ไม่ค่อยจับถูก เมื่อจับผิด เขาจึงพลาดความดี

ตลอดเวลา อะไรที่เป็นขยะจึงขนเข้ามากองในใจทั้งหมด สุดท้ายหัวใจของเขากลายเป็น

กองขยะที่เน่าเหม็น มิใช่หิ้งบูชาที่งดงามอย่างแก่ก่อนอีกต่อไป การมองลบ คิดลบ พูดใน

ทางลบนอกจากตัวเองจะเกิดทุกข์แล้ว ยังทำให้ผู้อยู่รอบตัวเรา เป็นทุกข์ตามไปด้วย

เราควรหลีกเลี่ยงคนที่คิดในทางลบ เพราะทำให้ชีวิตเราติดลบไปด้วย ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้อง

ปรับเปลี่ยนวิธีคิดให้ได้ ปรับวิธีดำรงชีวิตเสียใหม่ ไม่ให้ใจเป็นขยะ แต่ให้ใจเป็นหิ้งบูชาพระที่

งดงามทุกวัน ด้วยการมองหาสิ่งดีของคนให้พบมองบวก คิดบวก พูดบวก เพราะการทำอะไร

เป็นบวกจะทำให้ได้กำไรและใจสบาย

พระราชญาณกวี

ปิยโสภณ

#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตจักสนุก สุข สงบ เย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:หลับตาภาวนา นะมะพะทะ ก็มองเห็นนิพพานมานอนอยู่ นิพพานสบาย

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...




ความเข้าใจของคนทั้งหลายนี้ การภาวนานี้จะต้องเห็น

โน่นเห็นนี่ มีฤทธิ์มีเดชทำโน่นทำนี่ได้ นั่นสิ่งหลอกลวง

ทั้งนั้น เหมือนๆกับอาจารย์องค์หนึ่งเคยให้คติสอนใจว่า

"ท่านเจ้าคุณอย่าไปสนใจกับเรื่องเลขหวยเลขเบอร์

อันนั้นเป็นดอกไม้พญามาร ถ้าเราอยู่ดีๆ เราภาวนาๆไป

แล้วมันจะเป็นตัวเลขมาหลอกเรา ทีนี้ถ้าเราไปหลงติด

มันทีหลังมันจะหลอกเราอยู่เรื่อย สิ่งเหล่านั้นมันไม่เป็น

ของจริง" ทีนี้ก็เลยถามท่านว่า "อย่างเช่นสมมติว่า

ภาวนาแล้วเห็นนรกเห็นสวรรค์เห็นเมืองนิพพาน

ก็ไม่ใช่ของจริงซิ!"

มันก็ไม่จริง มันเป็นมโนภาพ มันเป็นของหลอกลวง ถ้าหากหลับตาไปแล้วเห็นเมืองสวรรค์ใน

มโนภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไปเห็นเมืองนิพพานในมโนภาพ ไปเห็นเมืองแก้วแล้วเห็นอะไร

ต่ออะไรแล้ว อ้อ! เรามาถึงเมืองนิพพานแล้ว ต่อไปทีหลังก็ไม่ต้องทำอะไร หลับตาภาวนา

นะมะพะทะ ก็มองเห็นนิพพานมานอนอยู่ นิพพานสบาย แต่ที่แท้จริงแล้วมันเป็นเพียง

มโนภาพเท่านั้น นิพพาน แปลว่าความดับ ดับความยินดี ดับความยินร้าย ดับความอิจฉา

ตาร้อน ดับความอิจฉาพยาบาท มันดับกิเลสอันเป็นเหตุก่อให้เกิดความวุ่นวายในสังคม

ดับกิเลสอันเป็นเหตุก่อให้เกิดความวุ่นวายในจิตในใจ โลภ โกรธ หลง ความอิจฉาตาร้อน

ความอิจฉาริษยา อะไรต่างๆหมู่นี้มันดับกิเลสเหล่านี้ แต่มันไม่ได้ดับความคิด เรานั่งอยู่ใน

สังคมอย่างนี้ เราอยู่รวมๆกัน เราจะมีแต่ความเมตตาปราณีมีแต่ความสงสารซึ่งกันและกัน

ความอิจฉาพยาบาทเคียดแค้นคิดทำลายกันมันก็ไม่มี.

พระราชสังวรญาณ(พุธ ฐานิโย) วัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา

#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตจักสนุก สุข สงบ เย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:รู้จักชีวิตของตน

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...


ปลาไม่รู้จักน้ำก็ไม่เป็นไร

แต่มนุษย์ต้องรู้ต้องเข้าใจชีวิตของตน

จึงจะมีความสุขที่แท้จริงได้

การทำความรู้จักชีวิตตัวเองทำด้วยการคิดพิจารณา

ได้บ้าง แต่วิธีที่ได้ผลมากที่สุด คือ

การเจริญสมาธิภาวนา

ค้นคว้าด้วยจิตที่ว่างจากความคิดปรุงแต่ง

จึงสำคัญยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการพ้นจาก

ความเป็นมนุษย์ประเภทปลาไม่รู้จักน้ำ

 


พระอาจารย์ชยสาโร

#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา

#พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ฉลาดใช้ #เฉลียวคิด #ชีวิตจักสนุก

สุข สงบ เย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Select your language