Dhamma together:ถ้ายังไม่รู้แจ้งเมื่อใดแล้วอย่าพึงทำมัน อย่าพึงพูดมัน

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...


"ผมจะทำยังไง?" "เกล้ากระผมปฏิบัติใหม่แต่ก็ไม่รู้จะปฏิบัติอย่างไร ความสงสัยมาก

ยังไม่ได้หลักในการปฏิบัติเลยครับ" ท่านว่า "มันเป็นยังไง?" "ผมหาทางก็เลยเอาหนังสือ

วิสุทธิมรรคขึ้นมาอ่าน มีความรู้สึกว่ามันจะไปไม่ไหวเสียแล้วเพราะว่าเนื้อความในสีลานิเทศ

สมาธินิเทศ ปัญญานิเทศนั้น ดูเหมือนไม่ใช่วิสัยของมนุษย์เสียแล้ว ผมมองเห็นว่ามนุษย์ทั่ว

โลกนี้มันจะทำไม่ได้ครับ มันยาก มันลำบากกำหนดทุกๆ สิกขาบทนี้มันไปไม่ได้ครับ มันเหลือ

วิสัยเสียแล้ว" ท่านก็เลยพูดว่า "ท่าน...ของนี้มันมากก็จริงหรอกแต่มันน้อย ถ้าเราจะกำหนด

ทุกๆ สิกขาบทในสีลานิเทศนั้นนะ มันก็ยาก มันก็ลำบาก...จริง แต่ความเป็นจริงแล้วนะที่เรียก

ว่าสีลานิเทศนั้น มันเป็นนิเทศอันหนึ่งซึ่งบรรยายออกไปจากจิตใจของคนเรานี้ ถ้าหากว่าเรา

อบรมจิตของเราให้มีความอาย มีความกลัวต่อความผิดทั้งหมดนั่นแหละ ก็จะเป็นคนสำรวมจะ

เป็นคนสังวรจะเป็นคนระวังเพราะความกลัว



"เมื่อเป็นอย่างนั้นจะเป็นเหตุที่ว่า เราจะเป็นคนมักน้อย

เราจะไม่เป็นคนมักมากเพราะว่าเรารักษาไม่ไหวนี่ ถ้าเป็น

เช่นนั้นสติของเรามันจะกล้าขึ้น มันจะตั้งสติขึ้น จะยืน

จะเดิน จะนั่ง จะนอนที่ไหน มันจะตั้งอกตั้งใจมีสติ

เต็มเปี่ยมเสมอ ความระวังมันเกิดขึ้นมานั่นแหละ

อันใดที่มันสงสัยแล้วก็อย่าพูดมันเลย อย่าทำมันเลย

ที่เรายังไม่รู้จะต้องถามครูบาอาจารย์เสียก่อน

ถามครูบาอาจารย์แล้วก็รับฟังไว้อีก

ก็ยังไม่แน่ใจเพราะว่ามันยังไม่เกิดเฉพาะตัวเอง

ถ้าหากเราจะไปกำหนดทุกประการนั้นก็ลำบาก เราจะเห็นว่าจิตของเรายอมรับหรือยังว่าทำผิด

มันผิด ทำถูกมันถูกอย่างนี้เรายอมรับหรือเปล่า?" คำสอนของท่านอันนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ ไม่ใช่

ว่าจะไปรักษาสิกขาบททุกๆ ข้อ เรารักษาจิตอันเดียวเท่านั้นก็พอแล้ว "อะไรทั้งหมดที่ท่านไป

ดูนะมันขึ้นต่อจิตทั้งนั้น ถ้าท่านยังไม่อบรมจิตของท่านให้มีความรู้มีความสะอาดนั้น ท่านจะมี

ความสงสัยอยู่เรื่อยไป วิจิกิจฉาอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นท่านจงรวมธรรมะคำสอนขอพระพุทธเจ้า

ไว้ที่จิต สำรวมอยู่ที่จิต อะไรที่มันเกิดขึ้นมาแล้วสงสัยแล้วเลิกมัน ถ้ายังไม่รู้แจ้งเมื่อใดแล้ว

อย่าพึงทำมัน อย่าพึงพูดมัน เช่นว่า อันนี้ผิดไหมหนอหรือไม่ผิด อย่างนี้คือยังไม่รู้ตาม

ความเป็นจริง แล้วอย่าทำมัน อย่าไปพูดมัน อย่าไปละเมิดมัน" นี่ผมก็นั่งฟังอยู่ก็เข้ากับธรรมะ

ที่ว่าธรรมะที่ถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ธรรมอันใดเป็นไปเพื่อความสะสมซึ่งกิเลส

ธรรมอันใดเป็นไปเพื่อความประกอบทุกข์ ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความกำหนัดย้อมใจ

ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความมักมาก ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความมักใหญ่ใฝ่สูง

ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความคลุกคลีหมู่คณะ ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน

ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความเลี้ยงยาก ลักษณะตัดสินพระธรรมวินัยแปดประการนั้นรวมกันลง

ไปแล้ว อันนี้เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า นอกนั้นไม่ใช่..

หลวงปู่ชา สุภัทโท

Dhamma together:สุขเพราะไม่โกรธใคร

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...


ความโกรธที่องค์สมเด็จพระสัมมามัสมพุทธเจ้าตรัสเรียกว่า โทสัคคี - ไฟคือโทสะ

มันเผาชนวนก่อนเผาสิ่งอื่น แต่ถ้าเราลองพิจารณาไป ก็จะเห็นกองไฟในธรรมชาติของคนใน

หลายรูปแบบ ได้แก่

ความโกรธ เป็นไฟฟอน ไฟกองใหญ่ มีเชื้อพร้อม

ความสนงอน เป็นไฟเย็น

ความพยาบาท เป็นไฟสุมขอน

ความปากบอน เป็นไฟไหม้ฟาง

การถากถาง เป็นไฟเติมเชื้อ

การหูเบาหลงเชื่อ เป็นไฟไหม้ป่า 

เรื่องความโกรธนี่ ต้องมองตนเองว่า ที่เราโกรธนั้น โกรธเพราะอะไร

โกรธเพราะไม่พอใจ

โกรธเพราะไม่ได้ดั่งใจ

โกรธเพราะไม่ได้สมประโยชน์

โกรธเพราะโทษว่าเขาทำต่อเรา

โกรธเพราะเขาเอาประโยชน์ตัว ตัวเราพึงได้ พึงมี

โกรธเพราะเขาดีกว่าเรา

โกรธเพราะหูเบาเชื่อคำยุยง

โกรธเพราะหลงว่าตนเองสำคัญ

โกรธเพราะยึดมั่นในยศศักดิ์

โกรธเพราะคนที่เรารักชักชวนให้โกรธ

ความโกรธ ทั้งหมดที่กล่าวมา เกิดขึ้นกับคนที่ใกล้ตัวเราและคนที่เรารู้จักเกือบทั้งสิ้น

ให้ถามตัวเองว่า แล้วเราจะรู้จักกันเพื่อเป็นศัตรูกันทำไม

ถ้าคิดได้ความสุขอันเกิดจากความไม่โกรธจะมีแก่เรา



ความสุขอันเกิดจากความไม่โกรธใคร 

อันนี้ดูเหมือนทำยาก แต่อันที่จริงไม่ยาก ขอให้เข้าใจ

เพียงสั้นๆว่า  โกรธให้ระงับ อย่าระเบิด และโกรธให้

ระงับแล้วค่อยระบาย ในเรื่องวิธีแก่ความโกรธ มีหลาก

หลายวิธี เช่น ซดน้ำร้อน ดื่มน้ำเย็น น้ำหวาน

ทานของเปรี้ยว เคี๊ยวของขม ดมของหอม หรือ

กระโดดโลดเต้น เล่นดนตรี เขียนกวีนิพนธ์ หาคนรับฟัง

ดูหนังตลก เล่าเรื่องโปกฮา เดินซื้อสินค้าตามชอบใจ

หรือ รู้จักให้อภัย ระวังใจตน อย่าบีบคั้นอารมณ์คนอื่น

ฝืนต่อโทสะ ละความพยายาท อย่าอาฆาตจองเวร

หรือภาวนาแผ่เมตตา

สัพเพ สัตตา: สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันหมดทั้งสิ้น

อะเวรา โหนตุ: จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรซึ่งกันและกันเลย

อัพยาปัชฌา โหนตุ: จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้พยาบาทเบียดเบียน ซึ่งกันและกันเลย

อะนีฆา โหนตุ: จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีความทุกข์กาย ทุกข์ใจเลย

สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ: จงมีความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้น จากทุกข์ภัย ทั้งสิ้นเถิด.

ถ้าทำได้ ความสุขอันเกิดจากความไม่โกรธจะมีแก่เรา

พระราชวิจิตรปฏิญาณ

Dhamma together:การเจริญกรรมฐาน เป็นอาหารของใจ

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...



"..การเจริญกรรมฐาน เป็นอาหารของใจ อย่างหนึ่ง

อาหารของร่างกายนั้นไม่ถาวร กินเช้า กลางวันหิว

บ่ายกิน เย็นหิวอีก กินวันนี้อิ่ม พอรุ่งขึ้นก็หิวอีก กินไป

ถ่ายไปอย่างนี้ ไม่มีวันพอเพียงต้องหามาให้กินกัน

อยู่เรื่อย

ส่วนอาหารของใจนั้น ถ้าทำให้ดี ๆ ชั่วเวลาเพียงนิด

เดียวจะอิ่มไปจนตลอดชีวิต ฯ.."

ท่านพ่อลี ธมฺมธโร

Dhamma together:มีสติมองความกลัว

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...



มีสติมองความกลัว เมื่อมีความกลัวเกิดขึ้น

ก็ดูมัน อย่าปล่อยให้มันครอบงำใจ รับรู้ถึง

ความกลัวที่เกิดขึ้น หรืออาจจะกลับมา

ดูกายว่า เวลากลัว กายเป็นอย่างไร

ลมหายใจเป็นอย่างไร เกร็งไหม

หัวใจเต้นเร็วไหม

ดูกายแล้วก็กลับมาดูใจ จะช่วยได้เยอะทีเดียว ให้เราฝึกดูใจของเรา ฝึกรับมือกับอารมณ์ต่างๆ

เรียนรู้ที่จะเผชิญหน้าแทนที่จะเป็นฝ่ายหนีมันตะพึดตะพือ

พระไพศาล วิสาโล

Dhamma together:นิยามความสุข

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...



ความสุขในวันนี้มันต้องเป็นเรื่องง่ายๆ ไม่ต้องไขว่ขว้า

หรือพยายามเพื่อให้ได้ความสุข ถ้ามันเป็นเรื่องใกล้ตัว

หรือเป็นเรื่องชีวิตประจำวันได้ก็ดี ในช่วงวัยรุ่น เราอาจต้อง

หาอะไรบางอย่างที่เร้าใจ สนุกสนาน วูบไหว มากระตุกหัวใจ

ให้ตื่นเต้น แต่พอมาถึงนาทีนี้ผมได้เรียนรู้ว่า ความสุขที่แท้จริง

คือ การที่หัวใจไม่แกว่งไปมา ทุกอย่างอยู่ในสภาวะธรรมดา

แบบที่ตื่นนอนมา ทุกอย่างก็ยังเป็นเหมือนเดิม

มีชีวิตที่สงบเงียบ ร่มเย็น ไม่ต้องกลุ้มเยอะ

ไม่ต้องดีใจมากมาย แค่ตื่นมาวันนี้เป็นอีกวันธรรมดา

แค่นี้ก็พอ

บอย ตรัย ภูมิรัตน

Dhamma together:เมื่อใดที่เรารู้ชัดในสุข ในทุกข์ เป็นวิชชา เป็นสัมมาทิฏฐิ

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...



พุทธพจน์บทหนึ่งได้กล่าวว่า เธอจงวิดน้ำออกจากเรือนี้

เรืออันเธอวิดน้ำออกแล้วจักเบา หมายความว่า ถ้าตัดราคะและ

โทสะ เรือนั้นจักวิ่งสู่พระนิพพาน แล้วโมหะหายไปไหนนั่นแสดงว่า

ถ้ากำหนดรู้ตัดราคะและโทสะชัดๆ แล้ว ตัวโมหะก็ไม่เกิด

เราจึงมากำหนดรู้ ที่ตัวอทุกขมสุขเวทนาตัวนี้

ที่ไม่รู้ชัดว่าเป็นทุกข์ หรือสุข เป็นอวิชชา เป็นมิจฉาทิฏฐิ

เมื่อใดที่เรารู้ชัดในสุข ในทุกข์ เป็นวิชชา เป็นสัมมาทิฏฐิ

การที่เราเห็นไม่ชัด เป็นมิจฉาทิฏฐิ นำมาพูดผิด เห็นผิด ดำริผิด

ใช้ผิด พยายามผิด ตั้งสติผิด สมาธิผิด อาสวะตกตะกอนนอนเนื่อง

อาสวะเป็นกิเลสละเอียด แม้แต่พระอานาคามี ยังข้ามไม่พ้น

มานะ อุทธัจจะ อวิชชา รวมเรียกว่า อวิชชาสวะ

Direk Saksith http://www.buddhayanando.com

fb: พระพุทธยานันทภิกขุ, พลิกใจให้ตื่นรู้,

หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท, เซนสยาม,

Dynamic Meditation (นวัตกรรมแห่งสติ)

จงวิดน้ำออกจากเรือ

http://buddhayanando.com/wordpress/?p=14514

Dhamma together:สิ่งเล็กๆ ไม่ใช่ว่าไร้ค่า และสิ่งที่ดูเหมือนไร้ค่า ที่จริงแล้วมีความสำคัญมาก

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...

มีนิทานเรื่องหนึ่งให้ข้อคิดแง่นี้ไว้ดีมาก เป็นเรื่องของหญิงชราที่ทุกวันจะหามหม้อดินเผาสอง

ใบออกไปตักน้ำ ใบหนึ่งก็เป็นหม้อที่สมบูรณ์ อีกใบหนึ่งเป็นหม้อที่มีรอยร้าว เมื่อตักน้ำแล้วก็

จะแบกหมอสองใบนั้นกลับไปที่บ้าน ซึ่งเป็นระยะไกลพอสมควร แต่พอถึงบ้าน หม้อที่ร้าวก็จะ

เหลือแค่ครึ่งหนึ่ง เนื่องจากน้ำรั่วไหลตลอดทาง แต่ว่าหญิงชราก็ยังคงทำแบบนี้ทุกวี่ทุกวัน

เป็นเวลานานนับปี วันหนึ่งหม้อใบร้าวก็พูดกับหญิงชราว่า รู้สึกว่าแย่มากที่ปล่อยให้น้ำรั่วไหล

กว่าจะถึงบ้านย้ายก็มีน้ำเหลือครึ่งเดียว ไม่เหมือนหม้ออีกใบที่ทำงานได้เต็มที่เก็บน้ำไว้ได้เต็ม

ทุกวัน หม้อใบร้าวนั้นตัดพ้อหญิงชราว่าเอาฉันมาทำงานนี้ทำไม หญิงชราก็บอกว่า เจ้าไม่

สังเกตหรือว่า ตลอดเส้นทางจากลำห้วยจนถึงบ้าน ด้านที่ฉันแบกเจ้าอยู่นั้น มีดอกไม้สวยงาม

ขึ้นมาเป็นแนวเลย ขณะที่ด้านที่ฉันแบกหม้อที่สมบูรณ์นั้นไม่มีดอกไม้ขึ้นเลย ที่เป็นเช่นนี้ก็

เพราะฉันเอาพันธุ์ไม้มาหว่านตรงด้านที่ฉันแบกหามเจ้าเอาเอาไว้ ทุกวันที่ฉันห้ามเจ้า เจ้าก็

ช่วยรดน้ำให้ดอกไม้เหล่านั้นจนชูช่อสวยงาม ดอกไม้ที่เจ้าช่วยรดน้ำ เราก็เก็บมาถวายพระ

และประดับบ้านเราจนสวยงาม เจ้าไม่สังเกตหรือ เมื่อได้ยินเช่นนั้น หม้อใบร้าวก็เกิดความภาค

ภูมิใจขึ้นมา เพราะได้รู้ว่าตนเองได้ทำสิ่งที่มีคุณค่า หญิงชราเป็นคนฉลาดฉลาด สามารถเอา

หม้อที่ร้าวมาใช้ประโยชน์ได้

เรื่องนี้ชี้ว่า แม้สิ่งที่มีตำหนิ บกพร่อง ไม่สมบูรณ์ ก็มีประโยชน์ถ้ารู้จักใช้

ธรรมชาติหรือโลกนี้อยู่ได้เพราะสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ทั้งนั้น แมลงหรือสัตว์เล็ก ๆ มีคุณค่า

มีความสำคัญต่อชีวิตและโลกนี้ อาจจะมากกว่าสัตว์ที่ผู้คนกำลังเป็นห่วง เช่น ปลาวาฬ

ช้าง เสือหรือหมีแพนด้า พวกนี้อยู่ชั้นยอดของปิรามิด ถึงแม้จะมีความสำคัญแต่ถ้าหายไปก็

ไม่ส่งผลกระเทือนต่อระบบนิเวศมาก แต่ถ้าพวกแมลง สัตว์เล็กๆ เช่น ผึ้ง แมงมุม มด หรือ

แม้แต่แบคทีเรีย สูญพันธุ์ไปจากโลกนี้ จะเกิดความวุ่นวายกันทั้งโลกเลย ตอนนี้หลาย

ประเทศกำลังเดือดร้อน เพราะผึ้งไม่รู้หายไปไหน ตายไปเยอะมาก ชาวสวนชาวไร่เลยพากัน

เดือดร้อน เพราะต้องอาศัยผึ้งในการผสมเกสร หลายแห่งต้องผสมเกสรเองเพราะผึ้งหายไป

ธรรมชาติที่อยู่กันได้อย่างราบรื่นกลมกลืนก็เพราะสิ่งเล็กๆ น้อยๆ

หลายคนไม่ทราบว่าออกซิเจนที่เลี้ยงสิ่งมีชีวิตทั้งโลกและมนุษย์เจ็ดพันล้านคนนั้น

ส่วนใหญ่มาจากแพลงตอน ซึ่งเป็นจุลชีพในมหาสมุทรทั่วโลก แพลงตอนมี ๒ ประเภท คือ

ที่เป็นสัตว์และพืช ถ้าเป็นพืช เรียกว่าไฟโตแพลงตอน อยู่ตามมหาสมุทร นอกจากเป็นอาหาร

ของปลาวาฬแล้ว ยังเป็นตัวการผลิตออกซิเจนเป็นอันดับต้นๆของโลก แม้ว่ามันจะตัวเล็กมาก

แต่ว่ามีความสำคัญต่อชีวิตของสัตว์และคนทั้งโลก หากแพลงตอนสูญพันธุ์ไป

ก็เดือดร้อนทั้งโลก



สิ่งเล็กๆ ไม่ใช่ว่าไร้ค่า และสิ่งที่ดูเหมือนไร้ค่า

ที่จริงแล้วมีความสำคัญมาก ขอให้เราคำนึงถึง

ความข้อนี้ อย่าดูถูกสิ่งเล็กน้อย และอย่าดูถูก

ตัวเองว่าไม่มีคุณค่า ไร้ความสำคัญ เราแต่ละคนมี

ความสำคัญและความสามารถทั้งนั้น อยู่ที่ว่าสำคัญ

เรื่องไหน สามารถเรื่องอะไร

ในทำนองเดียวกันคนอื่นก็สำคัญเช่นกัน อย่าดูถูกว่าเขาต่ำต้อยไร้ค่า หากคิดเช่นนั้นเราอาจ

เสียใจในภายหลังก็ได้

พระไพศาล วิสาโล

Dhamma together:ผู้ให้และผู่รับ

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...






ผู้ให้ธรรมทาน ได้ชื่อว่า ให้มนุษย์สมบัติ

สวรรค์สมบัติ และนิพพานสมบัติ การให้ธรรม

เป็นทาน ขอเพียงผู้ให้ มีศรัทธาทางธรรม ก็สามารถ

ให้ทานได้ คนที่รู้ธรรมมาก น้อย หรือไม่รู้เลยก็ให้ได้

เป็นพระหรือฆารวาสก็สามารถให้ธรรมได้ ด้วยการ

สร้างธรรมทาน จึงกระทำได้ทุกคน ผู้ปรารถนาอยาก

ได้บุญที่สูงที่สุด คือ การ สร้างมหาบุญกุศล ด้วยการ

ทำหนังสือธรรมะ หนังสือธรรม หนังสือสวดมนต์

ที่มีคำสอน ของพระพุทธเจ้าให้มากที่สุด เท่าที่จะ

มากได้ 

ผู้รับธรรม รับแล้วก็ต้องเอาไปปฏิบัติ ไม่ปฏิบัติก็ไม่เกิดผลดีอันใดๆ เปรียบเหมือน มีดินแล้ว

ไม่ยอมปลูก มีอาหารแล้วไม่ยอมกิน มีไม้แล้วไม่ยอมปลูกบ้าน มีเงินแล้วไม่ยอมใช้ สิ่งเหล่านี้

ถึงจะมีก็เหมือนไม่มี ผู้รับนำเอาธรรมนั้นไปใช้ ไปปฏิบัติตามจะเกิด ประโยชน์นับภพนับชาติ

ไม่ได้ ย่อมได้สมบัติ ในสุขคติภพ และถึงพระนิพพานสมบัติอันเป็นที่สุด ฉะนั้นผู้ใดให้ธรรม

เป็นทานก็เท่ากับ เอามนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ และนิพพานสมบัติ ไปให้กันเลยทีเดียว มีแต่

หาความสุขความเจริญอย่างที่สุดมิได้ ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ธรรมที่บุคคล ประพฤติ

อยู่เป็นนิจย่อมนำสุขมาให้ 

สมเด็จพระพุทธจารย์โตฯ วัดระฆัง

Dhamma together:การที่จะศึกษาปฏิบัติพุทธศาสนานี้ จะต้องเรียนอะไรบ้าง

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...


เราได้ไปเสียเวลามากมายเกินไปในการกระทำ

อย่างไรบ้าง แล้วเราก็ยังไม่เคย ก็ยังไม่ได้รับผลใน

พระพุทธศาสนาตามที่ควรจะได้รับ ทั้งนี้ก็เพราะว่าเรา

ไปทำผิดเสียบ้าง เราไปเสียเวลาในส่วนที่ไม่ควรจะทำ

เสียบ้าง จึงเกิดผลอย่างนี้ ไม่ได้ประสบผลทันตาเห็น

ในการที่จะดับทุกข์ของตนของตน ถ้าเราพิจารณาดู

อีกสักนิดหนึ่ง ก็จะพบว่าเราไปสนใจในส่วนที่เป็นข้อ

ปลีกย่อย ที่ไม่ใช่หัวใจของพระพุทธศาสนากันเป็น

เสียกันเสียเป็นส่วนมาก


ทั้งนี้ก็เพราะว่าเราอยากจะเป็นนักปราชญ์มากกว่าที่จะอยากดับความทุกข์ให้หมดสิ้นไป

โดยเร็ว เพราะว่าเราเคยชินจากการที่จะมีหน้ามีตา ว่าเป็นคนมีความรู้มาก เป็นคนผู้เด่น

เป็นคนทำอะไรที่เก่งๆหลายๆอย่าง เราก็ไปสนใจกันแต่ในเรื่องที่เขานิยมกันว่าจะทำให้เป็น

คนเก่ง แล้วเราก็เลยไม่มีโอกาสไม่มีเวลาที่จะไปสนใจในเรื่องอันเกี่ยวกับความดับทุกข์นั้น

โดยตรง มันจึงเสียเวลาไปมาก เพราะเหตุนี้ เมื่อเราจะศึกษาพุทธศาสนา เราก็มีเรื่องราวเป็น

อันมากที่จะต้องศึกษาอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ละเรื่องยังไม่รู้ว่าเป็นอะไรด้วยซ้ำไป เพราะว่า

ต้องทนศึกษาไปอย่างมากมาย จะต้องท่องจะต้องจำอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แล้วก็มีเรื่องที่ทำให้

เข้าใจยากยิ่งขึ้นทุกที ยิ่งขึ้นทุกที ในที่สุดก็ไม่เข้าใจอะไรได้ นี่แหละมีอาการเหมือนกับคนบ้า

หอบฟาง ไม่มีเมล็ดข้าวสักเม็ดเดียวอยู่ในฟางนั้น อย่างนี้ก็มีอยู่เป็นส่วนมาก ถ้ามองไม่ดีก็

ไม่อาจอาจจะไม่เห็น แต่ถ้ามองให้ดีแล้วก็อาจจะเห็นในข้อที่เราทำอะไรได้มากๆ แต่มันก็ไม่มี

ความดับทุกข์รวมอยู่ในนั้น นี้ก็นับว่าเป็นความประมาทอย่างหนึ่งด้วยเหมือนกัน จึงต้องระวัง

ให้ดีๆ ถ้าจะตั้งคำถามกันขึ้นว่า การที่จะศึกษาปฏิบัติพุทธศาสนานี้ จะต้องเรียนอะไรบ้าง เราก็

ตอบกันอย่างนั้นอย่างนี้ มีเรื่องที่จะต้องเรียนจะต้องปฏิบัติมากมายเหลือเกิน แต่แท้ที่จริงแล้ว

มันไม่ได้มีอะไรมากมายอย่างนั้น มันควรจะตั้งต้นกันด้วยเรื่องเพียงเรื่องเดียวว่า อย่าไปฟัง

อย่าไปคิด อย่าไปนึกอะไรหมดเลย มาคิดมานึกแต่เรื่องที่ว่าเรามีความทุกข์หรือไม่ แล้วก็ดูว่า

มันมีความทุกข์เพราะเหตุอะไร เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว เรื่องที่จะมีความทุกข์หรือไม่นั้น ดูจะไม่

เป็นปัญหาอะไร เพราะว่ามันก็รู้สึกกันอยู่ชัดๆว่า ยังมีจิตใจที่เร่าร้อนกระวนกระวาย ส่วนข้อที่

ว่าความทุกข์นั้นมาจากอะไรนั้น มันเป็นสิ่งที่ต้องพิจารณากันสักหน่อยจึงจะเห็นได้ แต่แล้วก็

ไม่ยากเย็นเกินไปในการที่จะพิจารณา ยิ่งได้รับคำสั่งสอนกันมามากมายถึงอย่างนี้แล้ว มันก็

ยิ่งเป็นการง่ายขึ้น คือว่าให้พิจารณาดูให้เห็นแต่เพียงว่า เมื่อใดมีความยึดมั่นสิ่งใดว่าเป็น

ตัวเราหรือเป็นของเรา เมื่อนั้นก็มีความทุกข์ทันที เพียงเท่านี้ก็พอแล้วสำหรับที่จะรู้ จะเข้าใจ

และจะปฏิบัติพระพุทธศาสนา เดี๋ยวนี้เราต้องไปท่องไปจำไปพูดไปจาเรื่องที่ยากยิ่งขึ้นทุกที

ยากยิ่งขึ้นทุกที เป็นปรมัตถ์ เป็นอะไรที่สูงลึกซึ้งยิ่งขึ้นไปทุกที จนกลายเป็นบ้าหอบฟาง

ท่วมหัวท่วมหูท่วมตัว มองไม่เห็นตัว เพราะไม่มีข้าวสารอยู่ในนั้นสักเม็ดหนึ่ง ทีนี้ถ้าเราจะเอา

กันแต่เนื้อข้าวสาร เราก็ไม่ต้องไปดูอะไร นอกจากที่จะดูแต่เพียงว่า ความทุกข์นี้เกิดมาจาก

อะไร จนพบแล้วก็จะเกิดความเบื่อหน่ายคลายกำหนัดในสิ่งที่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์นั้น จิตใจ

ก็จะเปลี่ยนไป เปลี่ยนไปในทำนองที่จะหมดกิเลส มีกิเลสอันเบาบางไปตามลำดับ

พุทธทาสภิกขุ

ที่มา ธรรมเทศนาวิสาขบูชา ปี พ.ศ ๒๕๑๓ ชื่อ ความเชื่อและการปฏิบัติเพียงข้อเดียว

กัณฑ์ ๒ ฟังได้ที่

http://sound.bia.or.th/catalogue.php?item_code=1215130520020

Dhamma together:คาดหวังคนรอบข้าง

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...



เมื่อเป็นทุกข์ จิตใจไม่ปกติ เสียศูนย์ ให้ดูตรงจุดนี้ว่านี่คือ

ทุกข์ เจาะลงไปพิจารณาว่าสมุทัยอยู่ตรงไหน เพราะต้อง

มีแน่นอน กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ซึ่งบางที

หลวงพ่อชาท่านชอบพูดสั้นๆ ง่ายๆ ว่า "ความคิดผิด"

อย่างเช่นเวลาคนรอบข้างทำบางสิ่งบางอย่างที่เราไม่ชอบ

แล้วเรารู้สึกทุกข์มาก ทั้งๆ ที่คนอื่นทำก็เฉยๆ

ถ้าความทุกข์เกิดเพราะการกระทำ ใครทำ

อะไรที่ไหนเมื่อไหร่ก็ต้องทุกข์เหมือนกันทุกครั้ง แต่

ปรากฎว่าความทุกข์ที่ใจขึ้นอยู่กับผู้กระทำคือใคร

ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการกระทำแต่เพียงอย่างเดียว


ดังนั้น เราจะต้องมาดูว่าเรากำลังคิดผิดอย่างไรกับคนนี้ เราอาจจะได้คำตอบว่าปัญหาอยู่ที่

ความคาดหวัง สำหรับคนรอบข้างในครอบครัวเราก็มีความคาดหวัง เพราะคาดหวังมันถึงจะผิด

หวังได้ ไม่ใช่ผิดหวังเพราะการกระทำ เพราะถ้าเราไม่มีความคาดหวัง เราจะผิดหวัง

ได้อย่างไร

ชยสาโรภิกขุ

Dhamma together:เป็นอะไร ก็ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ด้วยความตั้งใจจริงเพื่อส่วนรวม

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...


การทำให้สุขภาพจิตดีขึ้น คือการช่วยกันขจัดปัญหา

ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นด้วยการปฏิบัติตนให้ดี ตามหน้าที่

ของตน คือตั้งใจที่จะเป็นคนดี ถ้าเป็นนักเรียน

ก็เล่าเรียนให้ดี เป็นครู เป็นพยาบาล เป็นอะไร ก็ทำ

หน้าที่ให้ดีที่สุด การช่วยกันขจัดปัญหาต่างๆ ที่จะ

เกิดขึ้นด้วยความตั้งใจจริงเพื่อส่วนรวมนั้น

จะเป็นการให้พรที่ประเสริฐสูงสุด 


พระราชดำรัส พระราชทานแก่ครูและนักเรียนที่เข้าเฝ้าถวายพระพร

ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน

วันพฤหัสบดีที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๑๑

Dhamma together:เปลี่ยนความคิด

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...



นักจิตวิทยาฝรั่งสอนกันว่า

"You are what you think" คุณเป็นอย่างที่คุณคิด

ส่วนพุทธศาสนามีคำสอนว่า

"จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว" จิตในที่นี้ หมายถึงความคิด

จิตใจที่โน้มนำให้ร่างกายกระทำการใดๆ แนวคิดทั้งสอง

ต่างยอมรับความสำคัญของความคิด และวิธีคิดเรียก

รวมกันว่า ทัศนคติ เพราะ ทัศนคติคือ รากฐานของการ

กระทำ เป็นรากฐานของความสุขและความสำเร็จในชีวิต

 

ถ้าคุณคิดว่าชีวิตมีแต่ปัญหา เต็มไปด้วยความทุกข์ คุณก็จะอยู่กับความทุกข์ ตั้งแต่ตอนตื่น

จนกระทั่งตอนหลับนอน และอาจจะนอนไม่หลับเพราะความทุกข์มันทับถมทรมานใจ

แต่ถ้าทุกวันนี้คุณมีปัญหา และมองปัญหาเป็นเพียงปัญหา ทว่าไม่ใช่ความทุกข์ เนื่องจาก

เป็นธรรมดาของชีวิต ทุกคนก็ต้องผจญกับปัญหาด้วยกันทั้งนั้น อันที่จริง วันนี้ยังมีสิ่งดีๆ

เกิดขึ้นอีกมากมายที่ถูกมองข้ามไป เพราะคุณมัวแต่ใส่ใจอยู่กับความทุกข์ของตัวเอง

เหมือนเอาแว่นขยายไปส่องมองปัญหาของตัวเอง โดยไม่ยอมหันไปมองสิ่งอื่น ถ้าคุณเปลี่ยน

ความคิดนิดเดียว คิดว่าเราจะอยู่กับปัญหาอย่างมีความสุข ปัญหากับความทุกข์มันคนละเรื่อง

กัน แต่คนที่ไม่เข้าใจชีวิตดีพอ มักจะเอามาผสมปนเปจนยุ่งเหยิงไปหมด เราควรหัดมีทัศนคติ

ในเชิงบวก มองโลกอย่างสร้างสรรค์ มองให้เห็นสวรรค์ที่ซ่อนอยู่บนโลกมนุษย์

ก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์

กระบี่อยู่ที่ใจ

Dhamma together:ชีวิตของเราก็เปลี่ยน โลกของเรา รอบตัวเรา ก็เปลี่ยน

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...

นี่คือบทเรียนที่ยิ่งใหญ่สำหรับพวกเรา เรามักชี้นิ้วว่าไอ้นั่นมันเลว ใช่ไหม เราชี้นิ้วไป ไอ้นั่น

ก็เลว ไอ้นั่นก็แย่ เป็นสาเหตุให้เกิดความทุกข์ ทำให้เกิดปัญหาภายในบ้านเมือง เราชี้นิ้วไป

ทั่วเลย พอเราชี้นิ้วไปอย่างนั้น เราจะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ เราต้องไปเปลี่ยนที่คนโน้น

คนนี้ ทั่วไปหมดเลยใช่ไหม แล้วมันเปลี่ยนได้ซะเมื่อไรล่ะ เปลี่ยนไม่ได้ เราจะไปเปลี่ยนทุก

คนได้อย่างไร แค่ชี้นิ้วเนี่ย ก็มีสิ่งที่บอกเราแล้วว่าเราควรทำอะไร สังเกตดูนะครับ พอชี้นิ้วไป

มันมี 3 นิ้วที่ชี้กลับมาที่ตัวเรา เราไปว่า ว่าเขาเลว เรามาดูตัวเองดีกว่า



ดูจิตใจของเราเองดีกว่า อย่าไปมองคนอื่นเลย มองดู

ตัวเองนี่แหละ เปลี่ยนแปลงที่ตัวของเราเอง แล้วเราอยาก

จะให้โลกเป็นโลกที่ดีขึ้น ง่ายนิดเดียว ไม่ต้องไปเปลี่ยน

ทุกคนหรอก เปลี่ยนที่ตัวเราเอง ถ้าเกิดเราเปลี่ยนตัวเรา

เองได้ เรามองโลกคนละแง่คนละมุมเลย เราเริ่มยิ้ม เรามี

ความสุขของเรา ชีวิตของเราก็เปลี่ยน โลกของเรา รอบตัว

เรา ก็เปลี่ยน เพราะว่าพอเราดีกับทุกคน เรารักทุกคน

เราช่วยเหลือทุกคน เราก็เปลี่ยนตัวของเราเอง

คนรอบตัวก็เริ่มเปลี่ยน

ดร. อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา

Dhamma together:มีความสุขกับรอยยิ้มที่อ่อนโยน ผ่อนคลาย

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...


หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกช้าๆ อย่างอ่อนโยน สัก 2 3 

ครั้งดู คุณจะรู้สึกดีขึ้น สงบขึ้น ไม่มากก็น้อย การยิ้ม

อย่างอ่อนโยนเป็นหนึ่งวิธีที่จะทำให้วิถีชีวิตของเรา

ผ่อนคลายขึ้น เวลาเรายิ้ม เราจะเห็นว่ากล้ามเนื้อบน

ใบหน้าของเราผ่อนคลายไปด้วย แล้วจิตใจของเรา

เบิกบานตามไปด้วย นั่นเป็นแหล่งพลังงานของการยิ้ม

ที่มิได้เสแสร้ง ....กลับมาดำรงชีวิตอย่างคนที่อ่อนโยน

และผ่อนคลายไปกับรอยยิ้มที่อ่อนโยน นอกจากจะดี

สำหรับตัวคุณเอง ยังทำให้คนรอบข้างมีความสุข

ตามไปด้วย


สันติสุขในใจของเรามาจากความเข้าใจในการใช้ชีวิตที่ชัดเจนขึ้น 

 

เมื่อพบกับความเครียด แล้วรู้ตัวว่าเรากำลังเร่าร้อน กำลังเครียดจากการงาน การเงิน หรือ

ครอบครัว ก็ลองตั้งใจยิ้มให้กับความเครียด และจัดการความเครียดนั้นให้ระงับไปพร้อมกับ

ลมหายใจทีมีสติของเรา

 

กายที่สงบ  ระงับใจที่รู้ และเบิกบาน จะเป็นกายกับใจที่ควรแก่กับงาน

 

การใช้ชีวิตของเราอย่างคนที่ไม่ฟุ้งซ่าน เพ้อเจ้อ ขาดสติ จะทำให้ความคิดของเราคมขึ้น

 

การปฏิบัติการอย่างคนที่รู้จักคิดและคมในการใช้ชีวิตของเรานี้เป็นปัญญาอย่างหนึ่ง

 

ปัญญาคือ การจัดการให้ชีวิตของเราไม่ทำเหตุด้วยความไม่ประมาท 

 

จงมีความสุขกับรอยยิ้มที่อ่อนโยน ผ่อนคลาย และตั้งมั่นอย่างไม่หวั่นไหวกับการใช้ชีวิต

อย่างไม่ทุกข์

 

ความเครียดมา ความเครียดก็ไป มันเป็นอนิจจัง แม้มันจะเวียนกลับมาอีกครั้ง แต่ที่สุดมันก็จะ

หายไป ขอเพียงว่าทุกครั้งที่ความเครียดกลับมา คุณก็ จ๊ะเอ๋ แล้วรับ บ๊ายบาย ให้เร็ว 

แล้วสางยิ้มแถมให้ ความเครียดก็ทำอะไรคุณไม่ได้แล้ว

แม่ชีศันศนีย์ เสถียรสุต

Dhamma together:ชีวิตของเราจะดีหรือไม่ จะสุขหรือจะทุกข์ขึ้นอยู่กับวิธีคิดของเรา

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...


ชีวิตของเราจะดีหรือไม่ จะสุขหรือจะทุกข์ขึ้นอยู่กับวิธีคิดของเรา

ถ้าเราคิดเป็น ชีวิตก็ร่มเย็นเป็นสุข

ถ้าคิดไม่เป็น ชีวิตก็เข้าสู่วงโคจรของความทุกข์

สิ่งที่จะพูดต่อไป คงจะสอดคล้องกับหลายเรื่องที่ทำให้เรา

หลายคนร้อนอกร้อนใจ ขอให้เป็นคาถาสัก ๔ ข้อ เป็นธรรมะ

ดับร้อน เป็นคาถาที่จำกันง่ายๆ เมื่อนำมาปรับใช้ก็จะทำให้

คลายร้อนได้พอสมควร แต่ถ้าทำได้ครบทุกข้อ หายร้อนทันที

นั้นก็คือ

1. อย่าเป็นนักจับผิด

2. อย่ามัวคิดริษยา

3. อย่ามัวเสียเวลากับความหวัง

4. อย่าฟังเสียงบาปมิตร

ท่าน ว.วชิรเมธี

จากหนังสือ กลั่นทุกข์ให้เป็นสุข

Dhamma together:ผลเกิดจากเหตุ ถ้าจะแก้ปัญหาต้องเริ่มจากสาเหตุก่อน

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...



พระพุทธเจ้าเคยตรัสสอนเอาไว้ว่า

ผลเกิดจากเหตุ

ถ้าจะแก้ปัญหาต้องเริ่มจากสาเหตุก่อน

กฎหมายบ้านเรามีเยอะแยะไปหมด หากใช้บังคับ

กันจริงๆ คงไม่ต้องมารณรงค์กันมากมายขนาดนี้

แต่กฎหมายมันถูกซื้อด้วยเงิน คนมีเงินพอก็ใช้เงิน

ฟาดหัวตำรวจ ขนาดเมาแล้วขับรถชนคนตาย

มันยังไม่นอนคุกเลย กฎหมายที่มีจึงไม่ศักดิ์สิทธิ์ 

และคนก็ไม่เกรงกลัว

 

จริงๆแล้ว ต้องจับมันมาขัง ยิ่งคนดัง หากเมาแล้วขับรถชนคนตาย ต้องจับขังทันที เพื่อไม่ให้

คนอื่นเอาอย่าง นี่กลับไปปล่อยให้มันลอยนวล ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีแก่คนอื่น ลูกหลายเอ๊ย

จำใส่กะโหลกเอาไว้

ประมาทเมื่อไร ฉิบหาย และ พังพินาศเมื่อนั้น

หลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ

Dhamma together:ยิ่งเกลียด ก็ยิ่งยึดติดก็ได้

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...



เผลอใจ “ใช่หรือไม่ว่า ยิ่งเกลียดสิ่งใด

สิ่งนั้นก็ยิ่งมีแรงดึงดูดต่อใจของเรา ทำให้

ไม่อาจละวางได้ จะเรียกว่า ยิ่งเกลียด ก็ยิ่ง

ยึดติดก็ได้ ที่น่าแปลก ก็คือยิ่งจดจ่อครุ่นคิด

กับสิ่งนั้น ใจ ก็ยิ่งเป็นทุกข์ และยิ่งเป็นทุกข์

ก็ยิ่งครุ่นคิดถึงมัน ราวกับว่ายังทุกข์ไม่พอ

ต้องทุกข์กว่านี้ให้สาแก่ใจ 

คำถามก็คือ ทำไมเราถึงทำร้ายตัวเองขนาดนั้น

คำตอบก็คือ เพราะเรา “เผลอ”ไปนั่นเอง”

พระไพศาล วิสาโล

Dhamma together:กรรมที่ทำให้สิ้นกรรมอีกทีหนึ่ง นั่นแหละคือการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...



กรรมที่ดี กรรมที่แท้จริงนั้น คือ กรรมที่ทำให้เป็นไป

เพื่อความดับทุกข์ ถ้าพูดอย่างลึกซึ้ง คือ กรรมที่เป็นที่

สิ้นสุดแห่งกรรมทั้งหลาย กรรมชั่วนั้นอย่างหนึ่ง กรรมดีนั้น

อีกอย่างหนึ่ง และกรรมที่เป็นที่สิ้นสุดแห่งกรรมดีและ

กรรมชั่ว นั้นคืออริยมรรค... เรื่องดีเรื่องชั่วนั้นเขาสอนกัน

อยู่แล้วก่อนพระพุทธเจ้า ที่พระพุทธเจ้าท่านมาสอนกรรม

อีกชนิดหนึ่ง ที่ประพฤติแล้วจะถอนความยึดถือไปได้

ทั้งในกรรมดีและกรรมชั่ว หมายความว่าทำให้กรรมดีและ

กรรมชั่วทั้งสองอย่างนี้ หมดน้ำหนัก หมดความหมาย

หมดค่า หมดอิทธพล หรือหมดวิบากไป

ผู้มีจิตใจอยู่เหนือกรรม กรรมที่ทำให้สิ้นกรรมอีกทีหนึ่ง นั่นแหละคือการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า

การเวียนว่ายตายเกิดไปตามกรรมในวัฏสงสาร นั้นเป็นเรื่องกรรม เป็นไปตามกรรมดีกรรมชั่ว

เกิดดี เกิดชั่ว เพราะกรรมที่ทำให้นิพพาน มันก็คือกรรมที่ทำให้สิ้นกรรมดี กรรมชั่ว เพิกถอน

กรรมดีกรรมชั่วออกไปหมด ก็เลยกลายเป็นกรรมที่ทำให้บรรลุนิพพาน เหนือดีเหนือชั่ว

เหนือบุญเหนือบาป เหนือสุขเหนือทุกข์

พุทธทาสภิกขุ

Dhamma together:อานิสงค์เจริญพระกัมมัฏฐาน..

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...


อานิสงส์ที่เราเจริญพระกัมมัฏฐาน เราได้ของเราเอง

ไม่ใช่คนอื่นได้ กัมมัฏฐานทำคนให้ฉลาด ให้หลัก

ความจริงใจ รู้จักชีวิตประจำวันว่า ควรทำอะไร ..ฯลฯ..

กัมมัฏฐานทำให้คนรู้จักปรมัตธรรม ไม่หลงติดอยู่ใน

บัญญัติธรรม บัญญัติอารมณ์ เพราะฉะนั้นอารมณ์ดี

อารมณ์ร้ายสำคัญมาก ทำคนให้มีศีลธรรมและวัฒนธรรม

อันดีงาม ทำคนให้รักใคร่กันสนิทสนมกลมเกลียวกัน

เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน


เราทำกัมมัฏฐานนี้ แผ่เมตตาให้ศัตรูกลายเป็นมิตร ทำคนให้เมตตากรุณากัน และยินดีเมื่อคน

อื่นเขาได้ดี ทำคนให้เป็นคน ให้ดีกว่าคน ให้เป็นพระใจประเสริฐ ทำคนไม่ให้เบียดเบียนกัน

เว้นจากการเอารัดเอาเปรียบกัน ทำคนให้รู้จักตนเอง และรู้จักปกครองตนเอง ปกครอง

ครอบครัวด้วย และทำให้เราเป็นผู้ว่านอนสอนง่าย ไม่มีมานะ ทิฏฐิถือตัว ใครจะตักเตือนว่า

กล่าว ก็จะไม่โกรธ ทำคนให้เป็นผู้หนักแน่น มีกตัญญูกตเวทิตาธรรม ทำคนให้มีกายวาจาใจ

บริสุทธิ์ เหมือนทองคำธรรมชาติที่หล่อหลอม ทำคนให้ได้รับความสุข กัมมัฏฐานทำให้เดิน

ทางถูกต้อง ทำคนให้บรรลุมรรคผลนิพพานเป็นประโยสาร สามารถป้องกันภัยทางอบายภูมิได้

คือ เปรตนรก อสูรกาย สัตว์เดรัชฉาน ไม่ต้องไปในภูมินั้นอีกต่อไป เป็นปัจจัยให้ได้พบ

มรรคผลนิพพานในชาติต่อไป ทำกิเลส คือ โลภะ โทสะ โมหะ ให้เบาบางลง ทำให้มีใจสุขุม

เยือกเย็น ทำให้เป็นผู้มีสติรอบคอบ ทำให้ความจำดีขึ้น ทำให้โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ หายไป

ทำให้ความเชื่อความเลื่อมใสในพระรัตนตรัยดียิ่งขึ้น ความดีนั้นไม่ใช่จะได้มาอย่างง่ายดาย

จะเอาเงินทองไปซื้อก็ไม่ได้ และทำแทนให้กันก็ไม่ได้ ความดีนั้นกว่าจะได้มาแสนจะยาก

ต้องทำด้วยความลำบากยากเย็นเข็ญใจ ชีวิตมนุษย์ มันขื่นขมไปหมด ไม่มีอะไรหวาน

เป็นของดีที่หาได้ยาก ต่างคนต่างหามา เพราะฉะนั้นบุญบารมีของแต่ละคนจึงไม่เท่ากัน..

หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม..

Dhamma together:ยิ่งคิดเรายิ่งรู้

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...


ให้มันคิด มันยิ่งคิดเรายิ่งรู้ เเต่ทำความรู้สึกให้มาก

อย่าหยุดทำความรู้สึก เเต่อย่าเพ่ง เมื่อความคิด

มันมากขึ้นมากขึ้น ความรู้ก็มากขึ้นมากขึ้น เทียบเท่า

ทันกันเข้า ความคิดก็จะลดน้อยลงไป ตัวความรู้ก็จะ

มากขึ้นมากขึ้น นี่ เมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็จะรู้สมุฏฐาน

การคิด นี่จิตใจเราจะเปลี่ยนเเปลงที่ตรงนี้ อีกพักหนึ่ง

จำให้มันดีตอนนี้. เมื่อความคิดเราเปลี่ยนเเปลง ไม่ใช่

เปลี่ยนเเปลงก็ได้ที่ว่าเปลี่ยนเเปลงก็ได้ มันจะรู้

ปรมัตถ์ครับ อันที่รู้รูปนามนั้นยังไม่เป็นปรมัตถ์

 


เป็นเเต่เพียงรู้สมมติ เเล้วก็ดีใจไม่ใช่ใจดี ดีใจว่าเราได้รู้ธรรมะ เห็นธรรมะ เข้าใจธรรมะ

อันนั้นเป็นลักษณะดีใจเเต่ไม่ใช่ใจดี ตอนนั้นนะเป็นวิปัสสนู ตอนนี้พอดีมันคิดมากเราก็ต้อง

รู้มาก รู้เท่าทันกับความคิด มันคิดปุ๊บทันปั๊บ คิดปุ๊บทันปั๊บ จิตใจเรามืดตื้อเเต่ก่อนไม่รู้จัก

ทางไป บัดนี้พอดีทันอันนี้เเล้ว มันจะสว่างขึ้นภายในจิตใจ เเต่ไม่ใช่สว่างที่ตาเห็น

จิตใจมันจะสว่างขึ้นเบาอกเบาใจ เรียกว่า ตาปัญญา อันนี้ลักษณะ ปัญญาญาณ ของวิปัสสนา

เกิดขึ้น รู้ เห็น เข้าใจ วัตถุ ปรมัตถ์ อาการ เเล้วก็โทสะโมหะโลภะ เหล่านี้เเหละอย่าง

เเจ่มเเจ้ง เเล้วก็ รู้ เห็น เข้าใจ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ "

พระธรรมเทศนา หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ

Dhamma together:มีส่วนร่วมในการรักษาสืบต่ออายุของพุทธศาสนา

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...

แม้พุทธศาสนาจะเป็นศาสนาประจำชาติของเรามาตั้งแต่สมัยสุโขทัย แต่พวกเราจงอย่าได้

ประมาทนะว่า จะเป็นเช่นนี้ตลอดไป มันไม่แน่หรอก สิ่งที่เลวร้ายในโลกก็เคยเกิดขึ้นแล้วกับ

พระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ เผยแผ่ธรรมะในอินเดีย สมัยก่อนมีพระอรหันต์

พระอริยเจ้าผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมากมายหลายพัน เกือบๆ หมื่นทีเดียว แต่เดี๋ยวนี้แทบไม่มี

เหลือ ถ้าพุทธศาสนาหายไปจากอินเดียได้ แล้วทำไมพุทธศาสนาจะหายไปจากเมืองไทย

ไม่ได้ ท่านได้อ่านบทความเรื่องทิเบตซึ่งเป็นเมืองพุทธยิ่งกว่าเมืองไทยเสียอีก แต่ปัญหา

ทางการเมืองและกิเลสความโลภของมนุษย์ทำให้พุทธศาสนาถูกทำลาย ห้าสิบปีที่ผ่านมา

ในยุคที่จีนปฏิรูปวัฒนธรรม และแผ่อำนาจไปยังทิเบต ภิกษุภิกษุณีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบถูกฆ่า

และถูกทรมานมากมายหลากหลายรูปแบบ วัดต่างๆ ถูกทำลาย แม้แต่คัมภีร์พุทธศาสนาใน

ลาซาซึ่งมีอายุเก่าแก่เป็นร้อยๆ ปีก็ถูกพวกทหารจีนเอาไปใช้เป็นกระดาษชำระ ฉะนั้น พวกเรา

ไม่ต้องสงสัยเลยว่านรกมีจริงหรือไม่ นรกน่ะมีจริงอยู่แล้วแม้ในโลกนี้ พวกพระได้อ่านเรื่อง

ทิเบตแล้ว ทำให้เกิดความไม่ประมาทในการบวชเป็นพระว่า


“เรามาบวชเป็นพระอยู่ในเมืองไทย ได้รับความเคารพ

นับถือจากญาติโยม ไปที่ไหนผู้คนก็มีน้ำใจต่อเรา

มีความปลอดภัยในการประพฤติปฏิบัติ แต่ว่าเราจะรู้ได้

อย่างไรว่าเมืองไทยจะไม่เป็นเหมือนประเทศทิเบตใน

อนาคตข้างหน้า เรารับประกันเรื่องนี้ไม่ได้” แต่ก่อน

อินโดนีเซีย อิหร่าน อัฟกานิสถาน อูซเบกิสถาน

ปากีสถาน ก็เป็นพุทธหมด แต่ตอนนี้ก็ไม่เป็นซะแล้ว

วัดพุทธที่อิหร่านเกือบหมื่นวัดถูกทำลายจนหมดสิ้น


ดูซิว่าอะไรเกิดขึ้นที่เขมร และลาว สมัยคอมมิวนิสต์ครองอำนาจ พระถูกฆ่า แม้แต่

พระสังฆราชก็ถูกคว้านท้อง พระที่ไม่โดนฆ่าก็ถูกจับไปเลี้ยงหมู นี่ไม่ใช่เรื่องนิทาน แต่เป็น

เรื่องจริง พุทธศาสนาเสื่อมได้ ตัวธรรมะและความจริงน่ะไม่เสื่อมหรอก แต่สถาบันเสื่อมได้

และคนก็เสื่อมได้เช่นกัน เราไม่สามารถจะมั่นใจได้ว่า เมืองไทยจะเป็นเมืองพุทธตลอดกาล

นาน ดังนั้น ผู้ที่เห็นคุณค่าของพุทธศาสนาทุกคนต้องมีส่วนร่วมในการรักษาสืบต่ออายุของ

พุทธศาสนา ไม่ใช่เพื่อเราเท่านั้น แต่เพื่อลูกเพื่อหลาน และเพื่อผู้ที่ยังไม่เกิดด้วย การสืบต่อ

ที่แน่นอนที่สุดคือ การศึกษาและประพฤติปฏิบัติธรรม เพราะธรรมะต้องเป็นสิ่งที่เราแสดงได้

ทั้งทางกายวาจาใจ จะเอางานปฏิบัติธรรมเป็นแค่งานอดิเรกทำเหลาะๆ แหละๆ ไม่ได้ ต้องให้

งานปฏิบัติธรรมเป็นหัวใจของชีวิต ต้องมีความจริงใจต่อพระพุทธศาสนา เคารพในพระพุทธ

พระธรรม พระสงฆ์

ที่มา: 'เรื่องท่านเล่า' หนังสือรวมนิทานที่พระอาจารย์ชยสาโรเมตตาเล่าไว้

เรียบเรียงโดย ศรีวรา อิสสระ

Select your language