Dhamma together:win - win situation

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ... 

พระพุทธองค์ตรัสว่ามีธรรม ๖ ข้อ ซึ่งทำให้เรา อยู่ในปัจจุบันอย่างมีความสุขมาก และยังเป็น

เหตุ ปัจจัย เพื่อการสิ้นไปแห่งกิเลสในอนาคตข้างหน้า อย่างนี้ฝรั่งเรียกว่า win - win situation

คือมีความสุขในปัจจุบันด้วย เจริญอริยมรรคไปด้วยพร้อมกัน ธรรม ๖ ข้อ คือ

• เป็นผู้ยินดีในธรรม

• เป็นผู้ยินดีในการภาวนา

• เป็นผู้ยินดีในการละ

• เป็นผู้ยินดีในความวิเวก

• เป็นผู้ยินดีในความไม่พยาบาท

• เป็นผู้ยินดีในความไม่ปรุงแต่ง

สิ่งแรกที่เราควรสังเกตก็คือ ความสุขทั้ง ๖ ข้อ

เกิดจากความยินดี หลายคนยังเข้าใจว่า

ชีวิตนักปฏิบัติธรรมไม่น่าจะมีอะไรสนุก ที่มองอย่างนั้น

เพราะยังจับหลักไม่ได้ ว่าตัวความสุข อยู่ที่ความยินดี

มากกว่าสิ่งที่ยินดี นักปฏิบัติไม่ต้องสละความยินดี

เสมอไป เพียงแต่ว่า ต้องย้ายความยินดีของตน

ออกจากสิ่งที่ทำให้จิตตกต่ำไปไว้ในสิ่งที่น้อมนำจิต

ออกจากทุกข์ .

 

▫พระอาจารย์ฌอน ชยสาโรภิกขุ▫

[ Shaun Chiverton ]

#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา

#พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ฉลาดใช้ #เฉลียวคิด #ชีวิตจักสนุก

#สุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:ศัตรูที่อยู่ในใจของเราเอง

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...

ศัตรู!ที่แท้จริงของเรา

ไม่ใช่มนุษย์

ศัตรู ของเรา...คือ

ความโกรธ

ความเกลียด

ความติดยึด

ในความคิด และ อุดมการณ์

สู้กับ...ศัตรูเหล่านั้น

ศัตรูที่อยู่ในใจ...ของเราเอง

ติช นัท ฮันห์...

#อ่านแล้วแบ่งๆกันอ่านหลายๆท่าน #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #ประยุกต์ปรับใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:“เวลาเป็นเงินเป็นทอง”หรือ “เวลาเป็นของมีค่า”

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...

 มองให้ดีจะพบว่าความวุ่นมักเป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นมาเอง

ทั้งโดยการหากิจกรรมหรือสิ่งเสพต่าง ๆ มาทำให้วุ่น

และโดยการเร่งรีบทำสิ่งต่าง ๆ จนเกิดความรู้สึกวุ่นขึ้นมา

ประการหลังนี้ถูกตอกย้ำให้เป็นหนักขึ้นเมื่อมีทัศนคติว่า

“เวลาเป็นเงินเป็นทอง” หรือ “เวลาเป็นของมีค่า”

คนมีเงินจะได้รับอิทธิพลอย่างมากจากทัศนคติดังกล่าว

ดังนั้นจึงคอยไม่เป็นและเร่งรีบจนเป็นนิสัย หนักกว่านั้นก็

คือจะไม่ยอมเสียเวลาไปกับสิ่งที่ไม่ “เป็นเงินเป็นทอง”

 

จึงทนไม่ได้กับการนั่งเล่น เดินเล่น ปลูกต้นไม้ บางคนแม้แต่จะพูดคุยกับลูกเมีย ก็ไม่มีเวลาให้

เพราะกลัวว่าจะเสียเวลาทำมาหากิน (แม้แต่เด็ก ๆ ก็ติดทัศนคติแบบนี้มากขึ้นทุกที เด็กคนหนึ่ง

เมื่อถูกถามว่าทำไมไม่คุยกับพ่อบ้าง คำตอบก็คือ “คุยแล้วไม่ได้คะแนน ก็เลยไม่รู้จะคุยทำไม)

    คนที่คิดแบบนี้จึงชอบหมกมุ่นกับงาน หรือไม่ก็หางานมาทำตลอดเวลา หรือทำหลายๆอย่าง

พร้อมกัน ถ้าหยุดหรือมีเวลาว่างเมื่อไรก็จะไม่สบายใจหรือรู้สึกผิด เมื่อเป็นเช่นนี้ชีวิตจะไม่วุ่นได้

อย่างไร

    ชีวิตจะหายวุ่นและมีเวลาว่างมากขึ้น จึงอยู่ที่ตัวเราเป็นสำคัญ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถานที่ผู้คน

แวดล้อม หรือแม้แต่อาชีพการงาน (การวิจัยเมื่อไม่นานมานี้พบว่าคนอเมริกันในปัจจุบันใช้เวลากับ

การทำมาหากินน้อยลงเมื่อเทียบกับ ๔ ทศวรรษที่แล้ว แต่กลับรู้สึกวุ่นมากกว่า)

   ดังนั้นถ้าอยากให้ชีวิตวุ่นน้อยลง อย่างแรกที่ทำได้เลยคือลืมไปเสียบ้างว่า

“เวลาเป็นเงินเป็นทอง” ถึงแม้สิ่งที่ทำจะไม่ให้ผลงอกเงยเป็นเงินทอง ก็ควรทำด้วยความใส่ใจ

ไม่เร่งรีบ พึงตระหนักว่า “ปัจจุบันเป็นเวลาประเสริฐสุด” คือทำทุกอย่างในปัจจุบันให้ดีที่สุด

แม้จะเป็นแค่การล้างมือ อาบน้ำ หรือถูฟัน เงินทองนั้นสำคัญก็จริงอยู่ แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือความ

สุขใจอันเกิดจากจิตที่ผ่อนคลาย เป็นสมาธิ

    อย่าลืมว่ามีเงินมากเท่าไรก็ซื้อความสุขใจไม่ได้ การมีเวลาให้ใจได้อยู่นิ่ง ๆ และผ่อนคลาย

เช่น ทำสวน เดินเล่น ทำโยคะ หรือนั่งสมาธิ เป็นการทำให้เวลามีค่ายิ่งกว่าเงินทองเสียอีก

ควบคู่กันไปก็คือการทำให้เสร็จเป็นอย่าง ๆ การทำหลายอย่างพร้อมกันนอกจากจะทำไม่ได้ดีสัก

อย่างแล้ว ยังทำให้จิตเป็นสมาธิได้ยาก การแบ่งความใส่ใจให้แก่หลายสิ่งในเวลาเดียวกัน ทำให้

เกิดความรู้สึกเครียดและวุ่นได้ง่าย ถึงเวลาจะพักจิตให้สงบก็ทำไม่ได้ จึงกลายเป็นโรค

นอนไม่หลับ

พระไพศาล วิสาโล

#อ่านแล้วแบ่งๆกันอ่านหลายๆท่าน #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #ประยุกต์ปรับใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:สิ่งที่มาครอบอยู่ทำให้มืดมน ไม่เห็นทาง เราจึงอาจเปะปะ และมิใช่เฉพาะความโกรธ

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...

เวลาเรามีความโกรธ จิตใจของเราไม่สว่าง มีสิ่งที่มาครอบอยู่

ทำให้มืดมน ไม่เห็นทาง เราจึงอาจเปะปะ 

และมิใช่เฉพาะความโกรธ  ความเศร้าก็ทำให้มืดก็ได้ 

หรือแม้แต่ความดีใจก็ทำให้มืดก็ได้ 

ฉะนั้น ทุกคนจึงมีหน้าที่ที่จะควบคุมจิตใจ 

ทั้งจิตใจทางโกรธ ทางเศร้า หรือทางดีใจ

เพื่อให้ทุกคนสามารถที่จะมีความสว่างในใจ


ส่วนหนึ่งของ กระแสพระบรมราโชวาท

พระราชทานแก่นักเรียน นักศึกษา ครู และอาจารย์ ในโอกาสเข้าเฝ้าฯ 

ณ อาคารใหม่ สวนอัมพร

วันเสาร์ที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๑๖

#ตามรอยธรรมราชา

พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร

#ทบทวนธรรม

#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา

#พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ฉลาดใช้ #เฉลียวคิด #ชีวิตจักสนุก

#สุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:ความเมตตาตนเองอย่างถูกต้อง

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ... 

 

"เมื่อเรามีความเมตตาต่อกัน

ย่อมคิดที่จะเกื้อกูลกันให้มีความสุข

ผิดพลาดไปบ้างก็ให้อภัยกัน

แต่ถ้าขาดเมตตาต่อกันแล้วก็จะมีแต่การทำลาย

มีความพยาบาทใครทำความไม่พอใจให้

ก็จะตอบแทนด้วยความไม่พอใจเช่นกัน

จึงควรมีเมตตาต่อกัน เพื่อสังคมที่เป็นสุข"

สมเด็จพระญาณสังวร

สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก


#อ่านแล้วแบ่งๆกันอ่านหลายๆท่าน #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #ประยุกต์ปรับใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:ตามเห็นกายเห็นใจตามความเป็นจริง

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ... 

 วิปัสสนากรรมฐานคืออะไร บอกเขาง่ายๆนะ

คือการที่เราคอยตามเห็นกายเห็นใจตามความ

เป็นจริง นี่แหละ คือวิปัสสนากรรมฐาน

ตามรู้ตามเห็นมันไปเรื่อย รู้กายตามความเป็นจริง

รู้ใจตามความเป็นจริง รู้อย่างนี้แหละเรียกว่าเรา

เจริญวิปัสสนาอยู่

ถ้าไปรู้อย่างอื่นไม่เรียกว่าวิปัสสนา เช่น

รู้ความนิ่ง ความว่างความสว่าง ดวงกสิณต่างๆ

ดวงแก้ว ดวงเทียน ไฟ พระพุทธรูป หรือนิมิต

หมายใดๆทั้งสิ้น อันนั้นไม่ใช่วิปัสสนา

วิปัสสนาต้องรู้กายรู้ใจ เพื่ออะไร เพื่อวันหนึ่งจะได้เห็นความจริงของกายของใจ ว่ากายนี้ใจนี้

ไม่เที่ยงเป็นทุกเป็นอนัตตาไม่มีตัวเราในกายในใจนี้ กายก็ไม่ใช่เรา ใจก็ไม่ใช่เรา ดูเท่านี้ยังไม่พอ

ดูไปอีก ดูกายดูใจตามความเป็นจริงเรื่อยไป จนวันหนึ่งแจ้งนะ กายนี้ใจนี้เป็นทุกข์ล้วนๆ พอเห็นว่า

กายนี้ใจนี้เป็นทุกข์ล้วนๆ จิตมันจะสลัดคืนกายคืนใจให้โลก ไม่ยึดถือ เห็นตามความเป็นจริง

จึงเบื่อหน่ายคลายกำหนัดแล้วหลุดผล คำว่าหลุดพ้นๆ เราได้ยินบ่อยๆ อะไรมันหลุดจากอะไร

จิตมันหลุดจากความยึดถือในขันธ์ ขันธ์คือกายกับใจเรานี่เอง พูดง่ายๆ ถ้ามันไม่ยึดกายยึดใจ

มันก็ไม่ทุกข์อีกแล้ว ทุกวันนี้มีความทุกข์เพราะมีกายมีใจ ทุกข์มันอยู่ที่กายทุกข์ยู่ที่ใจ รู้สึกไหม

ทุกข์ไม่ได้อยู่ที่โต๊ะ ที่เก้าอี้ ที่ภูเขา ที่ต้นไม้ ทุกข์มันอยู่ที่กายอยู่ที่ใจ ถ้าจิตมันพ้นจากกายจาก

ใจแล้ว จิตก็พ้นจากทุกข์ ตัวนี้เรียกว่าความหลุดพ้น ไม่ใช่พ้นจากอย่างอื่นนะ พ้นจากขันธ์5

พ้นจากกายจากใจ เห็นไหมง่าย

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโช

#อ่านแล้วแบ่งๆกันอ่านหลายๆท่าน #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #ประยุกต์ปรับใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:ความดีงามที่ทำให้เป็นเทวดา...

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ... 

พระพุทธเจ้าทรงสอนหลักธรรมไว้ข้อหนึ่ง

ให้ระลึกถึงเทวดา เรียกว่า เทวตานุสติ

แต่ท่านหมายถึงว่าให้ระลึกถึงคุณธรรม

ความดีงามที่ทำให้เป็นเทวดา เช่น ความมีหิริโอตตัปปะ

เป็นต้น คือระลึกถึงในการที่จะประพฤติปฏิบัติตนให้น่านับถือ

ให้ตัวเองเป็นเทวดาได้ ไม่ใช่ระลึกถึงเพื่อเซ่นสรวงอ้อนวอน

ขอผลจากเทวดา

ป. อ. ปยุตฺโต

#อ่านแล้วแบ่งๆกันอ่านหลายๆท่าน #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #ประยุกต์ปรับใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:ธรรมปฏิบัติ เพื่อดำเนินและหลีกเลี่ยง “ไตรลักษณ์”

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...

คำว่า “เที่ยง” หรือ “แน่นหนามั่นคง” หรือ

“จีรังถาวร” เป็นสิ่งที่โลกต้องการในส่วนที่พึง

ปรารถนา เช่น ความสุข เป็นต้น แต่สิ่งดังกล่าวจะหา

ได้ที่ไหน ? เพราะในโลกนี้เต็มไปด้วยสิ่งที่ขัดต่อ

ความต้องการของโลกทั้งนั้น คือ

เป็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ไปเสียสิ้น

มีแต่เรื่อง อนิจฺจํ ความไม่เที่ยงถาวรรอบตัวทั้ง

ภายในและภายนอก ถ้าว่าสุขก็มีทุกข์แทรกเข้ามา

เสีย อนตฺตา แทรกเข้ามาเสีย ทุกสิ่งจึงเต็มไปด้วย

“ไตรลักษณ์” คือ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา

ซึ่งหาสิ่งใดมาทำลายเพื่อความจีรังถาวรไม่ได้ นอกจาก “ธรรมปฏิบัติ” อย่างเดียว ดังปราชญ์

ดำเนินมาแล้ว และผ่านพ้นแหล่งอันแสนทุกข์กันดารนี้ไปได้แล้ว 

พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้โดยถูกต้องหาที่คัดค้านไม่ได้เลย ในเรื่องสภาวธรรมเหล่านี้ เพราะเป็น

ของตายตัว ธรรมก็แสดงความจริงที่มีอยู่อย่างตายตัวนั้น ไม่ต้องหาอะไรมาเพิ่มเติม

คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ อย่าเข้าใจว่าท่านหาอะไรมาส่งเสริมเพิ่มเติมสิ่งที่มีอยู่

แล้วให้มากขึ้นหรือให้ลดน้อยลงไป หรือไม่มีก็หาเรื่องว่ามี อย่างนี้ไม่มี ! ท่านแสดงตามหลัก

ความจริงล้วน ๆ ทั้งนั้นไม่ว่าพระพุทธเจ้าพระองค์ใด

จุดของศาสนาอันแท้จริงที่สอนเพื่อดำเนินและหลีกเลี่ยง “ไตรลักษณ์” เหล่านี้ได้พอควร

ท่านก็สอนไว้แล้วว่า

“สพฺพปาปสฺส อกรณํ” – การไม่ทำชั่วทั้งปวง หนึ่ง

“กุสลสฺสูปสมฺปทา” – การยังกุศลหรือความฉลาดในสิ่งที่ชอบธรรมให้ถึงพร้อม หนึ่ง

“สจิตฺตปริโยทปนํ” – การทำจิตของตนให้ผ่องใสจนกระทั่งถึงความบริสุทธิ์ หนึ่ง

“เอตํ พุทฺธาน สาสนํ” – เหล่านี้ เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

คือว่านี้เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์...

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน

#อ่านแล้วแบ่งๆกันอ่านหลายๆท่าน #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #ประยุกต์ปรับใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:ใจนี้แหละมีอิทธิพลต่อสุขหรือทุกข์ของเรามากที่สุด

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...

ทุกวันนี้เรามีความรู้เรื่องรอบตัวมากมาย ตั้งแต่จิ๋วที่สุด

คือ อนุภาคในอะตอม ไปจนถึงมโหฬารที่สุด คือ พหุภพ

เรารู้ว่าโทรศัพท์มือถือยี่ห้อใดรุ่นไหนถ่ายรูปได้คมชัด

ที่สุด นักร้องคนใดกำลังมาแรง รู้กระทั่งว่าดาราคนไหน

เป็น "คู่จิ้น" ของใครแต่แล้วเรากลับรู้เรื่องตัวเองน้อย

มาก อย่างมากก็รู้แค่รูปร่างทรวดทรงของตน แต่ที่ลึกไป

กว่านั้นและแนบแน่นกับตัวเรามากที่สุดคือ "ใจ" เรากลับ

รู้น้อยมาก ทั้งๆ ที่ใจนี้แหละมีอิทธิพลต่อสุขหรือทุกข์

ของเรามากที่สุด

ทุกวันนี้ผู้คนมีความเป็นอยู่สะดวกสบายอย่างยิ่ง แต่กลับหาความสุขได้ยาก แม้กายสุข แต่ใจ

หาสุขไม่ นั่นเป็นเพราะเราปล่อยให้ใจแบกทุกข์ไว้มากมายโดยไม่รู้จักปล่อยวาง ปล่อยให้อารมณ์

ต่างๆ ทำร้ายจิตใจ ทั้งเผาลน กรีดแทง และบีบคั้น จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ หรือหนักกว่านั้นคือ

ทำร้ายตัวเอง หากอยากมีความสุขอย่างแท้จริง มิใช่แค่สุขกายเท่านั้น เราจำต้องหันมารู้จักจิตใจ

ของเราให้ดี และดูแลมิให้อารมณ์อกุศลต่างๆ ครอบงำ หากทำเช่นนั้นได้ ใจจะกลายเป็นมิตรที่

ประเสริฐที่สุดของเรา และป้องกันมิให้ความทุกข์ต่างๆ ทำร้ายเรา แม้ในยามที่ประสบกับเหตุร้าย

หรือวิกฤตในชีวิตก็ตาม

พระไพศาล วิสาโล

#อ่านแล้วแบ่งๆกันอ่านหลายๆท่าน #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #ประยุกต์ปรับใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:รีเซ็ทคำพูดดีดี.....

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ... 

 

ใครว่าคำไม่มีผลกับจิตใจ คนสองคนที่เจอปัญหาในงานเท่ากัน

คนหนึ่งพูดว่า หายนะ อีกคนบอกว่า น่าสนุกท้าทายดี

ใครจะกระตุ้นใจให้คิดทางออกดีดีได้มากกว่ากัน

คำพูดเร้าจิตใจความคิดความรู้สึกทางกายทางใจของเราให้

เป็นตามนั้น ผู้เขียน มีคำติดปากว่า ดีจังเลย สนุกจังเลย

มีความสุขจังเลย มาตั้งแต่เด็ก ทำให้ไม่ว่าจะเกิดสถานการณ์

อะไร คำดีดีที่ติดปากเหล่านี้ก็จะโผล่ขึ้นมาก่อนทุกที จนทำให้

ใจของเรามองเห็นแง่ดีตามไปด้วย

สังเกตุคำพูดติดปากของตัวเอง เลือกคำดีดี ติดที่ปาก ติดที่ใจ

เปลี่ยนอย่างอื่นอาจทันทีไม่ได้แต่เปลี่ยนคำพูดแล้วเปลี่ยนที่ใจ

เราได้ทันที พูดดีดี ยิ้มกว้างๆ มีความสุขกัน

จากหนังสือเข็มทิศความสุข

ครูอ้อย เข็มทิศชีวิต


#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา

#พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ฉลาดใช้ #เฉลียวคิด #ชีวิตจักสนุก

#สุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:สอนกันให้มากจะดีขึ้น อันนี้เป็นเรื่องที่น่าคิด

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ... 

เรื่องสวดกับเรื่องสอน มันสำคัญอยู่ที่เรื่องสอน

ไม่ใช่สำคัญที่เรื่องสวด เรื่องสวดนี้ทำให้คนไม่รู้อะไร

ไม่เข้าใจอะไรเลย เพราะว่าสวดภาษาที่เราฟังกันไม่รู้

เรื่อง เช่นโยมไปฟังเพราะสวดมนต์นี่ ไม่รู้ว่าท่านสวดว่า

อะไร หรือไปฟังเพราะสวดศพก็ไม่รู้ว่าท่านสวดเรื่อง

อะไร เราเพียงสักนั่งฟังไปตามประเพณี เป็นพิธีเท่านั้น

นี่คือการสวด แต่ว่าการสอนนั้นคือการพูดชี้แจง แสดง

เหตุผลในเรื่องเกี่ยวกับความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวัน

ให้คนที่มานั้นได้เกิดความรู้ความเข้าใจ ถ้ามีการสอน

มากศาสนาก็แพร่หลาย แต่ถ้าสวดมากศาสนาคงเดิม

คือ ไม่ได้ก้าวไปข้างหน้า ไม่ได้ทำตนให้เกิดความรู้

ความเข้าใจ

ในสมัยนี้ถ้ายังสวดกันอยู่มากๆ จะไปไม่รอด แต่ถ้าเราสอนกันให้มากจะดีขึ้น อันนี้เป็นเรื่องที่น่าคิด

อยู่เหมือนกัน ญาติโยมจะทำอะไรก็ควรจะมุ่งไปในการสอน ในการเผยแผ่ธรรมะอย่ามุ่งเอาแต่

เรื่องการสวดกันท่าเดียว เพราะว่ามันจะกลายเป็นพิธีรีตองไปหมด ไม่ใช่เนื้อแท้ของธรรมะ หรือ

ไม่ใช่เนื้อแท้ของพระศาสนา ที่เราทั้งหลายควรจะเข้าถึงกัน สมมุติว่าเราจะนิมนต์พระไปที่บ้าน

เรานัดญาตินัดโยมมาประชุมกัน เช่นในครอบครัวเรา วันไหนเรานึกขึ้นได้ถึงพ่อแม่ ปู่ ตา ย่า ยาย

อยากจะทำบุญอุทิศให้ท่านเสียหน่อย เราก็นัดญาติทุกคนมาประชุมพร้อมกัน เมื่อประชุมพร้อมกัน

แล้วเราก็นิมนต์พระไปแสดงธรรม ให้คนที่มาประชุมกันฟัง ปรารภเหตุถึงการสิ้นบุญของพ่อแม่

คนที่มาทุกคนก็จะได้ลืมหูลืมตาเพราะได้ฟังธรรมะ ได้เกิดความรู้ความเข้าใจในคำสอนของ

พระพุทธเจ้า แล้วก็จะได้เตือนให้สำนึกว่า เราทุกคนเป็นสมาชิกของตระกูลนี้ ของครอบครัวนี้

พ่อ แม่ปู่ตาย่ายายท่านตายไปแล้ว ท่านได้ทำอะไรๆ ไว้ให้พวกเราทั้งหลายได้กินอยู่อาศัย สะดวก

สบายอยู่ เราก็ควรจะสำนึกถึงคุณของคนเหล่านั้น แล้วควรจะสำนึกถึงความงามความดี

ที่บรรพบุรุษของเราเคยกระทำมา ให้เดินตามทางที่บรรพบุรุษเคยเดิน ถ้าเรานิมนต์พระไปทำอย่าง

นั้นทุกคนก็จะได้รับความสำนึกในหน้าที่ ในการงาน อันตนจะพึงปฏิบัติต่อสิ่งที่ตนเป็นหน้าที่

ของตน อันนี้มันก็ดีขึ้น แต่ถ้าเรานิมนต์พระไปสวดมนต์ บังสุกุล ฉันเสร็จแล้วท่านก็กลับวัด

อาตมามองๆดูแล้วไม่ค่อยจะได้อะไรเท่าไหร่ แต่ได้ความอิ่มใจนิดหน่อย

ปัญญานันทภิกขุ

#อ่านแล้วแบ่งๆกันอ่านหลายๆท่าน #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #ประยุกต์ปรับใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:"ศีล ผู้นำทางอย่างประเสริฐสุด"

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...

 

" .. ทุกชีวิตเป็นนักเดินทางจะต้องเดินทางอีกไกลแสนไกล

ด้วยกันแทบทั้งนั้น สิ่งที่ควรมีคือผู้นำทาง ซึ่งไม่มีทางใด

จะประเสริฐเสมอด้วยศีล เพราะศีลมีกลิ่นหอมขจรไปทั่วทุกทิศ

ผู้เดินทางที่มีศีลนำย่อมไกลจากความทุกข์ความเดือดร้อน

เมื่อเราจะต้องพากันออกเดินทางแน่นอนแล้ว เราก็น่าจะเตรียม

หาผู้นำทางที่ประเสริฐสุดของเราไว้ตั้งแต่บัดนี้ คือเราต้องเริ่มเอา

จริงในการรักษาศีล ให้บริสุทธิ์ตั้งแต่บัดนี้โดยพร้อมเพรียงกัน .."

สมเด็จพระญาณสังวร

สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

#อ่านแล้วแบ่งๆกันอ่านหลายๆท่าน #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #ประยุกต์ปรับใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:เรามีเพื่อนมีมิตร ถ้าเรารักเขาเราก็ต้องชักจูงเขา เข้าสู่แนวแห่งธรรมะ

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ... 

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ธรรมะกับอธรรมนั้น ให้ผลไม่เสมอกัน

ธรรมะให้ผลเป็นความสุขความเจริญ อธรรมนั้นให้ผลเป็นความทุกข์ ความเดือดร้อน

แต่บุคคลที่ไม่ได้รับการศึกษา ไม่เข้าใจถึงผลแตกต่างของสองสิ่งนี้ ก็มัวเมาอยู่ในความสุข

ประเภทที่เกิดขึ้นจากความไม่เป็นธรรม เช่น ความสุขด้วยความเพลิดเพลิน ด้วยการดื่มการกิน

การเล่น การเฮฮาสนุกสนานด้วยประการต่างๆ เขาเข้าใจว่า นั่นเป็นยอดของชีวิต เป็นความสุข

ที่เขาปรารถนา

คนประเภทนั้นเป็นคนที่หลงผิด ชีวิตก็ตกต่ำลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งต้องสูญเสียสิ่งที่มีค่าของตนไป

น่าสงสารน่าเห็นใจบุคคลประเภทอย่างนี้ เป็นหน้าที่ของเราทั้งหลายที่จะต้องช่วยกัน เพื่อจูงคน

เหล่านั้น ให้พบกับสิ่งที่เป็นความหมายอันแท้จริงของชีวิต

ถ้าเราจะสามารถไปจูงเขาเหล่านั้น ให้เกิดความรู้สึกนึกคิดในทางที่ถูกที่ชอบ ให้ดำเนินชีวิตในชีวิต

ใน ทางที่ตรงตามคำสอนในทางพระศาสนา การกระทำของเรานั้น เรียกว่าเป็นมหากุศล เป็นกิจที่

ควรแก่การสรรเสริญ เป็นเรื่องที่เราจะต้องทำกันบ่อยๆ

เรื่องการชักจูงช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ให้เข้าทางธรรมะเป็นเรื่องสำคัญ เป็นเรื่องที่เราจะต้องช่วยกัน

เรามีเพื่อนมีมิตร ถ้าเรารักเขาเราก็ต้องชักจูงเขา เข้าสู่แนวแห่งธรรมะ

ถ้าเราไม่ชักจูงเพื่อนฝูงมิตรสหายเข้าสูธรรมะ ความเป็นเพื่อน มันก็ไม่มีราคาอะไร ความเป็นเพื่อน

เป็นมิตรนั้น จะมีค่าตรงที่คอยแนะนำ ชักจูงเข้าหาทางดีทางชอบ

เพื่อนคนใด มาแนะนำชักจูงเราให้เดินไปในทางหายนะ

นั่นมิใช่เพื่อนแท้ของเรา เป็นพญามารที่ปลอมเข้ามาในสภาพ

ของเพื่อน มาเพื่อจะทำลายเรา ให้เสียหายตกต่ำ

เราควรจะหลีกจากคนเช่นนั้นให้ห่างไกล ไม่ควรเข้าใกล้

เป็นอันขาด แต่ว่าเพื่อคนใด ที่คอยชี้คอยแนะ คอยบอกทาง

ถูกทางชอบให้แก่เรา เป็นคนที่เรียกว่า คอยเตือนอยู่ตลอด

เวลา เราควรดีใจ ที่ได้พบเพื่อนเช่นนั้น เพราะเพื่อนเช่นนั้น

เป็นเพื่อนแท้ของเรา เป็นเพื่อนที่คอยให้สติให้ปัญญาแก่เรา

เราควรจะคบเพื่อนคนนั้นไว้ให้ยืดยาวต่อไป การคบคนเช่นนั้น

เป็นประโยชน์ฝ่ายเดียว ไม่มีความเสื่อมเลยเป็นอันขาด

ปัญญานันทภิกขุ

#อ่านแล้วแบ่งๆกันอ่านหลายๆท่าน #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #ประยุกต์ปรับใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:เพราะทั้งหมด..มันเกิดจาก "ใจ"

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ... 

 "...มันเกิดตรงไหน? ก็ดับตรงนั้น

ไม่รู้จักที่เกิด ไปดับที่อื่น มันก็ไม่ดับซี่

..อุปมาเหมือน ดับไฟฟ้า ดับดวงนี้ ดวงนั้น ดวงอื่นยังอยู่

คนผู้ฉลาด ดับที่หม้อแบตเตอรี่ มันมืดมิดทั่วพระนคร

อันนี้ ไปดับที่จิตดวงเดียว ดับที่ใจดวงเดียว ก็หมด

ไม่ต้องไปดับตา ดับหู ดับจมูก ดับลิ้น ดับกาย ดับใจ

ดับที่ใจดวงเดียว แล้วดับมืด

เพราะทั้งหมด..มันเกิดจาก "ใจ"

หลวงปู่ฝั้น อาจาโร..


#อ่านแล้วแบ่งๆกันอ่านหลายๆท่าน #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #ประยุกต์ปรับใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:"สวรรค์กับมนุษย์รวมอยู่ในคนๆหนึ่ง"...

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ... 


 สุภาษิตพื้นบ้านของคนจีนฉลาดมากที่พูดว่า

"สวรรค์กับมนุษย์รวมอยู่ในคนๆหนึ่ง"

คือมองให้เห็นในข้อที่ว่าบางเวลานี้ก็เป็นมนุษย์ที่มี

ความลำบากอย่างมนุษย์ บางเวลาเราก็สบายใจ กำลัง

สบายใจ เหนือความเป็นมนุษย์ เหมือนกับเป็นสวรรค์บางเวลา

ก็มี ถ้ารู้จักทำให้มันมากขึ้น มันก็มีสวรรค์กับมนุษย์เท่าๆกัน

ถ้ารู้จักทำให้มากขึ้นอีก ก็มีสวรรค์มากกว่ามนุษย์ก็ได้ ถ้ารู้จัก

ทำอะไรให้เป็นที่พอใจตัวเองไปทุกอย่างเลย จะกินข้าวก็

สบายใจ จะไปนั่งตรงไหนก็สบายใจ กระทั่งว่าไม่ได้กินข้าวก็

ยังสบายใจ กระทั่งเจ็บไข้ก็ยังสบายใจ เช่น ดีใจ เพราะว่ามัน

ได้รู้ได้เรียนได้เข้าใจชีวิต มันก็ไม่มีปัญหาคนเรา กระทั่งตายก็

ดีใจ คือว่าตายไปด้วยความพอใจที่ได้รู้จักความตาย

มันก็เลยสบายเท่านั้นเอง

บางเวลาเราก็สบายใจ บางเวลาเราก็ไม่สบายใจ เวลาที่ไม่สบายใจก็เป็นมนุษย์ เวลาสบายใจ

เป็นสวรรค์ ถ้าเราใช้ธรรมะบางอย่างเพียงบางระดับไม่ใช่สูงสุดอาจจะแก้ไขให้มันมีความเป็นสวรรค์

มากขึ้นหรือไม่มีความเป็นมนุษย์เลย เราได้ขึ้นสวรรค์ไปเลย คือรู้จักทำให้จิตใจมันพอใจทุกอย่าง

ที่เกิดขึ้น สบายใจทุกอย่างในสิ่งที่มันเกิดขึ้น ข้อนี้อย่าลืมเดี๋ยวจะหลง หลงกลับลืมเสียที มีหลักว่า

อะไรมันก็สำเร็จที่ใจ อะไรมันก็สำเร็จอยู่ที่ใจ เราจะไม่สบายก็อยู่ที่ใจ จะสบายก็อยู่ที่ใจ อะไรมัน

ก็อยู่ที่ใจแล้วก็ต้องจัดการที่ใจ จะให้มันเป็นอย่างไรก็ได้เพราะมันอยู่ที่ใจ มันสำเร็จที่ใจนี้

เรื่องศาสนาก็คือเรื่องจัดใจเสียใหม่ ให้มีความสุข มีความพอใจ ตามที่เราต้องการอย่างนี้มันตรงกัน

หมดทุกศาสนา ยิ่งพุทธศาสนาด้วยแล้วยิ่งมีคำยืนยัน มีพุทธภาษิตยืนยัน มีคำข้างหลังอรรถคาถา

ต่างๆยืนยัน ความสุข ความทุกข์ อัตภาพร่างกายก็สำเร็จอยู่ที่ใจขณะเดียว ที่จิตขณะเดียวๆ

เราอาจจะสร้างอะไรขึ้นมาได้โดยการจัดที่ใจ นี่เพราะว่ามันมีสวรรค์และแผ่นดินมนุษย์ มีมนุษย์เนี่ย

ครึ่งนึง คนละครึ่งก็เรียกว่าเป็นคำพูดที่เป็นประมาณการได้ทั่วๆไป ทั่วๆไป มันก็ไม่แพ้สุภาษิตไทย

ที่ว่าสวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ สุภาษิตจีนกับสุภาษิตไทยก็ไม่แพ้กัน ไม่มีศาสนาไหน ไม่มี

ศาสนาโน้น ไม่มีศาสนานี้ งั้นเราสนใจสิ่งเหล่านี้ในลักษณะที่เป็นความจริง ถ้าใครสนใจความจริงที่

เรียก Truth Truth นั่นนะมันเร็ว มันเข้าถึงตัวจริงเร็ว ถ้าไปสนใจศาสนา สนใจไอ้พรรณนั้นแล้ว

มันโอ้เอ้เพราะมันต้องไปติดเปลือกศาสนา ไปติดพิธีรีตรอง ไปติดแบบแผนอะไรต่างๆ มันมาก

มันโอ้เอ้ เช่นอย่างว่าเราจะยกเลิกหมด เป็นพระเป็นเณรเป็นอะไรไม่รู้ นี่ศึกษาให้รู้ว่า มันทุกข์ขึ้นมา

เพราะเหตุไร มันดับทุกข์เพราะเหตุอะไร นี่เขาเรียกว่าเราไม่สนใจอะไรหมด ไม่สนใจศาสนา

ไม่สนใจ สนใจแต่เรื่องทุกข์โดยตรง มันก็เร็วกว่ามีเรื่องมาก หลายเรื่อง หลายสิบเรื่อง ถึงแนะให้

มองในแง่ที่ว่า ถ้าสนใจเรื่องความจริงแล้วก็ไม่มีศาสนาไหน ไม่มีศาสนาต่างๆ มีศาสนาเดียวกันได้

คือความจริงที่มนุษย์เราเป็นทุกข์เพราะเหตุนั้น ต้องดับมันอย่างนั้น และผลสุดท้ายก็ดับไอ้ตัวกู

ของกูด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าศาสนาไหน ให้ไปค้นดูให้ถึงหัวใจ ให้ถึงแก่นแท้ ทุกศาสนามีความมุ่งหมาย

เพื่อดับตัวกูของกู คือความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวกูของกูทุกศาสนา อันนั้นมันเป็น Truth

เป็นความจริงของทุกศาสนา ไอ้นอกนั้นมันเป็นเปลือกทั้งนั้น เราควรจะขึ้นมาถึงระดับนี้แล้ว

การที่บวชเรียนมาหลายปีแล้วหรือฟังอะไรมามากแล้ว ศึกษาอะไรมามากแล้วมันควรจะขึ้นมาถึง

ระดับ ระดับที่ไม่ต้องมีจีน มีไทย มีสุภาษิตจีน สุภาษิตไทย ไม่ต้องมีศาสนาพุทธ ศาสนาคริสเตียน

ศาสนาโมฮำหมัด ไม่ต้องมีศาสนา มีแต่ว่าความจริงข้อเดียว ถ้าจะดับทุกข์กันแล้วต้องดับตัวกูของ

กูที่เป็นความเห็นแก่ตัว มีตัวเป็นของกู นี่ก็คือไม่มีตัวกู ไม่มีของกู ก็คือว่าง เพราะศาสนาว่างคือ

ศาสนาทั้งหมด ศาสนาทุกศาสนาเป็น Truth ของทุกสิ่งของทุกศาสนา ดับเสียซึ่งความคิด

ความเข้าใจ ความสำคัญมั่นหมายว่าตัวกูของกู นี่พูดเพียงว่าอย่าให้มันดูถูกผู้อื่น อย่าดูถูกพวกอื่น

ทั้งสุภาษิตก็ตามอะไรก็ตามของชนชาติไหนก็ได้ ควรจะเอามาดู มาฟัง มาเขียนไว้ มารักษาไว้

พุทธทาสภิกขุ

ที่มา บรรยายธรรม เรื่อง มีตัวกูเป็นวัฏสงสาร,หมดตัวกูเป็นนิพพาน,จงทำงานเพื่อรับใช้ความว่าง

#ปณิธานพุทธทาส #ทำความเข้าใจอันดีระหว่างศาสนา

#อ่านแล้วแบ่งๆกันอ่านหลายๆท่าน #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #ประยุกต์ปรับใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:ในทางปฏิบัติแล้ว ต่อให้เป็นคนปากพล่อยที่สุดในโลก ก็ ‘คิดก่อนพูด’ ด้วยกันทั้งสิ้น

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...

ที่ด่าๆกันว่า‘พูดไม่คิด’นั้น เป็นการติเตียนคนปากไวใจเร็ว แต่ในทางปฏิบัติแล้วต่อให้เป็นคนปาก

พล่อยที่สุดในโลกก็ ‘คิดก่อนพูด’ ด้วยกันทั้งสิ้นเมื่อโกรธจัด และใช้อารมณ์โกรธเป็นชนวนระเบิด

คำจะมีการ ‘คิดคะเน’ ว่าพูดกระแทกอย่างไร ใช้คำไหนให้เจ็บดีแต่ ‘ไม่คิดเลย’

ว่าต้องเหนื่อยลากยาวไปกี่ปีกับการโดนคนเจ็บใจตามล้างตามเช็ด เมื่อเกิดอัตตาเบ่งบานและใช้

ก้อนอัตตาเป็นแรงขับคำจะมีการ ‘คิดคำนวณ’ ว่าพูดอย่างไรให้ตัวเองดูดี

โดย ‘ไม่สนใจเลย’ ว่าคนอื่นจะหมั่นไส้ขนาดไหน

เมื่อมีสติปัญญาประกอบจิต และอาศัยสติปัญญานั้นกลั่น

กรองคำ จะมีการ ‘คิดให้ดี’ ว่า พูดอย่างไร

ให้เกิดผลลัพธ์ที่ต้องการ และ ‘ชั่งน้ำหนัก’ แล้วว่าต้องได้

ประโยชน์สูงสุด การจงใจพูดให้คนเจ็บใจก็ดี การจงใจ

โอ่อวดให้คนหมั่นไส้ก็ดี การจงใจเอ่ยคำให้เกิดผลที่ควร

จะเกิดก็ดี มี‘การจงใจ’ นั้นเองเป็นตัวตัดสินกรรม สมดังที่

พระพุทธเจ้าตรัสว่า เจตนาคือกรรม กรรมคือเจตนา

บุคคลคิดแล้วจึงพูด ความคิดจึงเป็นชนวนวจีกรรมเสมอ

ไม่มีทางที่ใครในโลกจะ ‘พูดไม่คิด’

ปฏิกิริยาของคนฟังรอบตัวที่เกิดขึ้น มีปกติเป็นอย่างไร ก็ นั่นแหละ ผลของกรรมทางวาจา อันเห็น

ได้ทันตาในปัจจุบันอย่างนั้น ว่ากันง่ายๆคือ พูดอย่างไร ก็ต้องตกไปอยู่ในโลกที่เหมาะสมอย่างนั้น!

ดังตฤณ

#อ่านแล้วแบ่งๆกันอ่านหลายๆท่าน #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #ประยุกต์ปรับใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:อยู่กับโลกต้องรู้จักเลือกคบคน

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ... 

อยู่กับโลกต้องรู้จักเลือกคบคน

ถ้าเราไม่รู้จักเลือกคบคน เราไม่เจริญทั้งทางโลก

และทางธรรม อย่างการอยู่ในโลกต้องทำมาหากิน

คนจะทำมาหากินแล้วรวยขึ้นมาได้นะ มีอยู่ข้อหนึ่งคือ

"กัลยาณมิตร" ต้องคบกัลยาณมิตร คบบางคนนะหายนะ

งั้นต้องรู้จักเลือก ในทางธรรมะก็เหมือนกันเราต้องรู้จักเลือก

ไม่ใช่รวมกลุ่มกันใหญ่ๆ เราไม่ใช่ฝูงปลาว่ายตามกันไป

เราไม่ใช่ฝูงนกบินตามกันไป เราเป็นคนมีสติมีปัญญา

เราต้องรู้ว่าเราคบกับใครแล้วกุศลเจริญ อกุศลลดลง

เราก็คบกับคนชนิดนั้น

ถ้าเราคบคนไหนแล้วอกุศลเกิดขึ้นกุศลหายไป เราก็ไม่เอา พระพุทธเจ้านะไม่ได้สอนให้เราคบคน

ทุกคนเท่าๆกัน ท่านให้เราคบบัณฑิตไม่ให้คบคนพาล (คบแล้ว)เสียหายทั้งทางโลกทั้งทางธรรม

แต่เป็นคนละเรื่องกับความเมตตากรุณา ถ้าเราภาวนาไปนะ ความเมตตากรุณามีให้ทุกคน แต่การ

จะคบเนี่ยไม่คบทุกคน บางคนเมตตากรุณาแล้วมีโทษมาก ใจเราเมตตาแต่เราไม่ยุ่งกับเขา

งั้นการรู้จักเลือกคบคน เลือกคบกัลยาณมิตร เป็นทางเดินที่ดี เป็นเบื้องต้นของอริยมรรค

พระพุทธเจ้าท่านสอนบอกว่า แสงเงินแสงทองตอนเช้าๆ เป็นเครื่องหมายแรก ว่าพระอาทิตย์กำลัง

จะขึ้น กัลยาณมิตรก็เป็นเครื่องหมายแรกของอริยมรรค เป็นสัญญาณบอกให้เรารู้ว่าอริยมรรคจะ

เกิดขึ้น เราเดินอยู่ในเส้นทางที่มีกัลยาณมิตร งั้นในโลกก็ต้องรู้จักเลือกคบนะ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ๑๐ กันยายน ๒๕๖๐ (600910A)

#อ่านแล้วแบ่งๆกันอ่านหลายๆท่าน #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #ประยุกต์ปรับใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together :"อปจายนมัย"

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ... 

"อปจายนมัย" ทำบุญด้วยการให้ความเคารพ มีความอ่อนโยน

สุภาพอ่อนน้อม ให้เกียรติแก่กัน เคารพยกย่องท่านผู้มีความเป็น

ผู้ใหญ่ ผู้สูงด้วยคุณธรรมความดี เป็นต้น หรือที่นิยมกัน

ในสังคมของเรา เคารพกันโดยวัยวุฒิ ชาติวุฒิ และคุณวุฒิ

แต่ใน ทางพระศาสนาถือว่า คุณวุฒิสำคัญที่สุด

อปจายนมัยนี้ก็เป็นบุญอย่างหนึ่ง เพราะเป็นการช่วยกันรักษา

สังคมนี้ ให้เราอยู่กันด้วยความสงบร่มเย็น

ถ้าสังคมของเรา ไม่มีการให้เกียรติ ไม่มีความเคารพกัน ก็จะวุ่นวายมาก จิตใจก็แข็ง กระด้าง ก้าวร้าว

กระทบกระทั่งกันเรื่อย แต่พอเรามีความเคารพ ให้เกียรติแก่กัน มีความสุภาพอ่อนโยน จิตใจของเรา

ก็นุ่มนวล การเป็นอยู่ร่วมกันก็ดี บรรยากาศก็ดี ก็จะงดงาม เป็นสุข บุญก็เกิดขึ้น

ป. อ. ปยุตฺโต

#อ่านแล้วแบ่งๆกันอ่านหลายๆท่าน #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #ประยุกต์ปรับใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:เรื่องราวดีๆที่ทำให้เราได้สุขใจและได้เรียนรู้

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ... 

ในทุกๆ วันของชีวิต เรามีโอกาสเจอ "โชคดี" 2 แบบ

โชคดีแบบที่ 1 คือ เราได้พบคนดีๆ ได้เจอเรื่องราวดีๆ

ทำให้เราได้ "สุขใจ"smile

โชคดีแบบที่ 2 คือ เราได้พบคนไม่ดี

ได้เจอเรื่องราวที่ไม่ดี ทำให้เราได้ "เรียนรู้"

บางวันเราก็เจอโชคดีแบบที่ 1

บางวันเราก็เจอโชคดีแบบที่ 2

แต่ส่วนใหญ่เราจะเจอโชคดีทั้ง 2 แบบ ผสมกันไป

ถ้าคิดได้แบบนี้ ไม่ว่าเราจะเจอคนแบบไหน จะเจอเรื่องราวอะไร ไม่ว่าดีหรือไม่ดี เราก็ถือว่าเป็น

โชคดีของเรา ในทุกเช้าวันใหม่ ถ้าเราลืมตาตื่นขึ้นมาพร้อม "ลมหายใจ" ก็ถือว่าเราโชคดีที่สุดแล้ว

ดังนั้น ถ้ามีใครมาทำไม่ดีกับเรา หรือมีเรื่องราวไม่ดีเข้ามากระทบ เราก็แค่ "ปรับมุมมอง" เสียใหม่

มองว่าเป็นโชคดีที่เราได้ "เรียนรู้" เราก็จะมีความสุขดังสุภาษิตจีน ที่ว่า "เราไม่สามารถเปลี่ยน

ทิศทางลมได้ แต่เราสามารถ ปรับใบเรือได้"

พระไพศาล วิสาโล

#อ่านแล้วแบ่งๆกันอ่านหลายๆท่าน #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #ประยุกต์ปรับใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Dhamma together:เรื่องพิเศษที่จะเกิดมี...เฉพาะบุคคลที่มีจิตหลุดพ้น...

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...

คราวหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าถูกพระเทวทัตทุ่มหินลงมา แต่ว่าหินนั้นไม่ถูกพระองค์ เพราะไปชนต้นไม้ 

สะเก็ดนิดหนึ่งมากระทบถูกพระชงฆ์ คือ หน้าแข้งของพระพุทธเจ้า เลือดไหลซิบๆ ออกมา หมอโกมาร

ภัจจ์ก็ทำยาไปปะแผลให้ยาที่ปะนั้นเป็นยาร้อน ก็คล้ายๆ กับ ทิงเจอร์ที่เราใช้กัน แต่ว่าใช้ใบไม้

ประเภทหนึ่ง เอามาพอกไว้ แล้วหมอก็กลับบ้าน หมอก็นอน ไม่หลับตลอดคืน มีความเป็นห่วง 

เพราะนึกในใจว่า ยาที่พอกนั้นเป็นยาที่ร้อน พระผู้มีพระภาคคงจะไม่ได้บรรทม เพราะความร้อนของยาที่

ผิวหนัง ตื่นแต่เช้ามืดมาเฝ้าดูพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วก็ถามไปด้วยอาการ ร้อนรนกระวนกระวายใจว่า 

“เมื่อคืนนี้พระองค์บรรทมหลับเป็นปกติหรือเปล่า” พระผู้มีพระภาคกลับตอบว่า “เราบรรทมหลับเป็นปกติ 

ไม่มีอะไรเกิดขึ้น” หมอก็บอกว่า “ข้าพระองค์นอนไม่หลับเมื่อคืนนี้ เพราะมีความกังวลที่ยาปะแผลของ

พระองค์ว่ามันร้อน” พระผู้มีพระภาคกลับตรัสตอบแก่หมอนั้นว่า “ความร้อนทั้งหลายเราได้ดับมันหมด

แล้วที่ใต้ต้นโพธิ์ที่ตรัสรู้ เวลานี้ความร้อนเหล่านั้นไม่มี ท่านจึงไม่ต้องเป็นห่วง ไม่ต้องมีความทุกข์ในเรื่อง

เกี่ยวกับความร้อนต่อไป” --> อันนี้เป็นเครื่องแสดงถึงด้านความสงบเย็นของจิตใจ ของพระผู้มีพระภาค

เจ้าว่า พระองค์ไม่มีความร้อน มีแต่ความสงบเย็น ความร้อนนั้นได้ดับไปตั้งแต่ วันตรัสรู้อนุตรสัมมา

สัมโพธิญาณที่ใต้ต้นโพธิ์แล้ว ต่อจากนั้นก็ไม่มีความร้อนอะไร จะนั่งอยู่ในที่ร้อนก็ไม่ร้อน จะนั่งอยู่ใน

ที่เย็นก็ ไม่เย็น จะอยู่ในที่ใดก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในจิตใจของท่าน


อันนี้เป็นเรื่องพิเศษที่จะเกิดมีเฉพาะบุคคล ที่มีจิตหลุดพ้นแล้ว

จากกิเลสทั้งปวง หรือพ้นแล้วจากการยึดมั่นถือมั่นในเรื่องตัว

เรื่องตน ที่เราเรียกในภาษาธรรมะว่า “อัตตวาทุปาทาน” คือ

การยึดมั่นถือ มั่นในตัวฉัน ในของของฉัน ถ้ายังมีความยึดมั่นอยู่

ตราบใด ความทุกข์ก็ยังมีอยู่ ความร้อนก็ยังมีอยู่ ะไรๆ ที่มันเกิด

ขึ้นตามธรรมชาติ มันก็มีอยู่กับผู้นั้น แต่ว่าถ้าถอนความยึดมั่นถือ

มั่นได้เมื่อใด สิ่งเหล่านั้นมันก็ไม่มี มันมีของมันอยู่ตามธรรมชาติ

ไม่ใช่ว่า ไม่มี แต่ว่าจิตไม่ได้เป็นทุกข์เพราะเรื่องนั้น

เช่นว่า ความร้อนทางกายก็มีอยู่ เจ็บปวดมันก็มีอยู่ แต่ว่าจิตไม่ปวดในเรื่องนั้น ไม่ได้เจ็บไปกับเรื่องนั้น 

ดูอาการมันเฉยๆ ไม่มีปฏิกิริยาเกิดขึ้นในใจ อันนี้เป็นเรื่องของจิตใจล้วนๆ... 

ปัญญานันทภิกขุ

#อ่านแล้วแบ่งๆกันอ่านหลายๆท่าน #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #ประยุกต์ปรับใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

Select your language