Dhamma together:"สวรรค์กับมนุษย์รวมอยู่ในคนๆหนึ่ง"...

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ... 


 สุภาษิตพื้นบ้านของคนจีนฉลาดมากที่พูดว่า

"สวรรค์กับมนุษย์รวมอยู่ในคนๆหนึ่ง"

คือมองให้เห็นในข้อที่ว่าบางเวลานี้ก็เป็นมนุษย์ที่มี

ความลำบากอย่างมนุษย์ บางเวลาเราก็สบายใจ กำลัง

สบายใจ เหนือความเป็นมนุษย์ เหมือนกับเป็นสวรรค์บางเวลา

ก็มี ถ้ารู้จักทำให้มันมากขึ้น มันก็มีสวรรค์กับมนุษย์เท่าๆกัน

ถ้ารู้จักทำให้มากขึ้นอีก ก็มีสวรรค์มากกว่ามนุษย์ก็ได้ ถ้ารู้จัก

ทำอะไรให้เป็นที่พอใจตัวเองไปทุกอย่างเลย จะกินข้าวก็

สบายใจ จะไปนั่งตรงไหนก็สบายใจ กระทั่งว่าไม่ได้กินข้าวก็

ยังสบายใจ กระทั่งเจ็บไข้ก็ยังสบายใจ เช่น ดีใจ เพราะว่ามัน

ได้รู้ได้เรียนได้เข้าใจชีวิต มันก็ไม่มีปัญหาคนเรา กระทั่งตายก็

ดีใจ คือว่าตายไปด้วยความพอใจที่ได้รู้จักความตาย

มันก็เลยสบายเท่านั้นเอง

บางเวลาเราก็สบายใจ บางเวลาเราก็ไม่สบายใจ เวลาที่ไม่สบายใจก็เป็นมนุษย์ เวลาสบายใจ

เป็นสวรรค์ ถ้าเราใช้ธรรมะบางอย่างเพียงบางระดับไม่ใช่สูงสุดอาจจะแก้ไขให้มันมีความเป็นสวรรค์

มากขึ้นหรือไม่มีความเป็นมนุษย์เลย เราได้ขึ้นสวรรค์ไปเลย คือรู้จักทำให้จิตใจมันพอใจทุกอย่าง

ที่เกิดขึ้น สบายใจทุกอย่างในสิ่งที่มันเกิดขึ้น ข้อนี้อย่าลืมเดี๋ยวจะหลง หลงกลับลืมเสียที มีหลักว่า

อะไรมันก็สำเร็จที่ใจ อะไรมันก็สำเร็จอยู่ที่ใจ เราจะไม่สบายก็อยู่ที่ใจ จะสบายก็อยู่ที่ใจ อะไรมัน

ก็อยู่ที่ใจแล้วก็ต้องจัดการที่ใจ จะให้มันเป็นอย่างไรก็ได้เพราะมันอยู่ที่ใจ มันสำเร็จที่ใจนี้

เรื่องศาสนาก็คือเรื่องจัดใจเสียใหม่ ให้มีความสุข มีความพอใจ ตามที่เราต้องการอย่างนี้มันตรงกัน

หมดทุกศาสนา ยิ่งพุทธศาสนาด้วยแล้วยิ่งมีคำยืนยัน มีพุทธภาษิตยืนยัน มีคำข้างหลังอรรถคาถา

ต่างๆยืนยัน ความสุข ความทุกข์ อัตภาพร่างกายก็สำเร็จอยู่ที่ใจขณะเดียว ที่จิตขณะเดียวๆ

เราอาจจะสร้างอะไรขึ้นมาได้โดยการจัดที่ใจ นี่เพราะว่ามันมีสวรรค์และแผ่นดินมนุษย์ มีมนุษย์เนี่ย

ครึ่งนึง คนละครึ่งก็เรียกว่าเป็นคำพูดที่เป็นประมาณการได้ทั่วๆไป ทั่วๆไป มันก็ไม่แพ้สุภาษิตไทย

ที่ว่าสวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ สุภาษิตจีนกับสุภาษิตไทยก็ไม่แพ้กัน ไม่มีศาสนาไหน ไม่มี

ศาสนาโน้น ไม่มีศาสนานี้ งั้นเราสนใจสิ่งเหล่านี้ในลักษณะที่เป็นความจริง ถ้าใครสนใจความจริงที่

เรียก Truth Truth นั่นนะมันเร็ว มันเข้าถึงตัวจริงเร็ว ถ้าไปสนใจศาสนา สนใจไอ้พรรณนั้นแล้ว

มันโอ้เอ้เพราะมันต้องไปติดเปลือกศาสนา ไปติดพิธีรีตรอง ไปติดแบบแผนอะไรต่างๆ มันมาก

มันโอ้เอ้ เช่นอย่างว่าเราจะยกเลิกหมด เป็นพระเป็นเณรเป็นอะไรไม่รู้ นี่ศึกษาให้รู้ว่า มันทุกข์ขึ้นมา

เพราะเหตุไร มันดับทุกข์เพราะเหตุอะไร นี่เขาเรียกว่าเราไม่สนใจอะไรหมด ไม่สนใจศาสนา

ไม่สนใจ สนใจแต่เรื่องทุกข์โดยตรง มันก็เร็วกว่ามีเรื่องมาก หลายเรื่อง หลายสิบเรื่อง ถึงแนะให้

มองในแง่ที่ว่า ถ้าสนใจเรื่องความจริงแล้วก็ไม่มีศาสนาไหน ไม่มีศาสนาต่างๆ มีศาสนาเดียวกันได้

คือความจริงที่มนุษย์เราเป็นทุกข์เพราะเหตุนั้น ต้องดับมันอย่างนั้น และผลสุดท้ายก็ดับไอ้ตัวกู

ของกูด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าศาสนาไหน ให้ไปค้นดูให้ถึงหัวใจ ให้ถึงแก่นแท้ ทุกศาสนามีความมุ่งหมาย

เพื่อดับตัวกูของกู คือความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวกูของกูทุกศาสนา อันนั้นมันเป็น Truth

เป็นความจริงของทุกศาสนา ไอ้นอกนั้นมันเป็นเปลือกทั้งนั้น เราควรจะขึ้นมาถึงระดับนี้แล้ว

การที่บวชเรียนมาหลายปีแล้วหรือฟังอะไรมามากแล้ว ศึกษาอะไรมามากแล้วมันควรจะขึ้นมาถึง

ระดับ ระดับที่ไม่ต้องมีจีน มีไทย มีสุภาษิตจีน สุภาษิตไทย ไม่ต้องมีศาสนาพุทธ ศาสนาคริสเตียน

ศาสนาโมฮำหมัด ไม่ต้องมีศาสนา มีแต่ว่าความจริงข้อเดียว ถ้าจะดับทุกข์กันแล้วต้องดับตัวกูของ

กูที่เป็นความเห็นแก่ตัว มีตัวเป็นของกู นี่ก็คือไม่มีตัวกู ไม่มีของกู ก็คือว่าง เพราะศาสนาว่างคือ

ศาสนาทั้งหมด ศาสนาทุกศาสนาเป็น Truth ของทุกสิ่งของทุกศาสนา ดับเสียซึ่งความคิด

ความเข้าใจ ความสำคัญมั่นหมายว่าตัวกูของกู นี่พูดเพียงว่าอย่าให้มันดูถูกผู้อื่น อย่าดูถูกพวกอื่น

ทั้งสุภาษิตก็ตามอะไรก็ตามของชนชาติไหนก็ได้ ควรจะเอามาดู มาฟัง มาเขียนไว้ มารักษาไว้

พุทธทาสภิกขุ

ที่มา บรรยายธรรม เรื่อง มีตัวกูเป็นวัฏสงสาร,หมดตัวกูเป็นนิพพาน,จงทำงานเพื่อรับใช้ความว่าง

#ปณิธานพุทธทาส #ทำความเข้าใจอันดีระหว่างศาสนา

#อ่านแล้วแบ่งๆกันอ่านหลายๆท่าน #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #ประยุกต์ปรับใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Select your language