พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...
เมื่อมีธรรมะหรือพระพุทธเจ้าอยู่ในใจแล้วจะเห็นโลก ทั้งหลายเป็นอย่างไร แล้วโลกอันวิปริตนี้จะไม่ทำอะไร แก่เราได้ ตามหลักของพระพุทธภาษิตนั้น มีอยู่คำเดียว สั้น ๆ ซึ่งคนไม่รู้ก็จะหัวเราะเยาะว่า "เห็นโดยประการอื่น" จากที่เขาเห็นกัน บาลีมีคำสั้นๆ ว่า “อฺญญโต”... บาลี 3 คำสั้นๆ ว่า อัญญโต โดยประการอื่น ต้องเห็นโดย ประการอื่น... คนที่ไม่เข้าใจเรื่องนี้ ไม่ทันได้เข้าใจเรื่องนี้ ก็จะหัวเราะว่าบ้าแล้วๆ เห็นผิดจากคนทั้งโลก มันบ้าแล้ว ก็ไม่ยอมว่าไอ้คนทั้งโลกมันเห็นไม่ถูกต้อง |
เมื่อเห็นผิดจากที่คนธรรมดาสามัญทั้งโลกเขาเห็นกันอยู่นั่นแหละคือถูกต้อง...
พูดให้ชัดอีกหน่อยก็ว่า ธรรมจักษุมันจะเห็น เห็นโดยการเป็นประการอื่นจากที่คนทั้งโลกเขา
เห็นกันอยู่ จากความโง่เขลา คือ เห็นของที่มันเที่ยงว่าไม่เที่ยง เห็นของที่ไม่ใช่สุขว่าสุข
เห็นของที่ไม่ใช่ตัวตนว่าตัวตน อย่างนี้เป็นต้น มันก็พอแล้ว แต่จะแจกให้มันมากกว่านี้ก็ได้
ไม่น่ารัก ไม่ควรรักก็เห็นว่าน่ารัก ที่มันเสียดแทงเผาลนก็เห็นว่ามันสนุกสนานเอร็ดอร่อยดี
เป็นอัสสาทะของกามารมณ์ ก็เห็นเป็นของเอร็ดอร่อยดี ที่แท้เป็นความเผาลน ไม่เห็นเป็น
สิ่งเผาลน... ก่อนนี้เราเห็นตามอำนาจของอวิชชา คือ ปล่อยมาตามเรื่องราวของสัตว์ผู้ไม่ได้
รับการอบรม ไม่เคยได้ยินธรรมะของพระอริยะเจ้า ไม่ได้รับคำสั่งสอนในธรรมะของพระ
อริยะเจ้า ปล่อยมาตามบุญตามกรรมตั้งแต่อ้อนแต่ออด คลอดมาจากท้องมารดา
ตามสิ่งแวดล้อมอย่างไร มันก็เกิดความรู้สึกขึ้นมาเอง ว่าน่ารัก น่าพอใจ ว่าเที่ยงแท้
ว่าเอาเป็นของเรา แล้วก็มีความติดมั่น ยึดมั่น ถือมั่นในสิ่งเหล่านั้นจนเป็นนิสัย สันดาน
เรียกว่า มีอนุสัย ความเคยชินที่จะเป็นอย่างนั้น... เดี๋ยวนี้จะเป็นไป "โดยประการอื่น"
จากที่เคยเป็นอย่างนั้น จะไม่รู้สึกอย่างนั้น จะไม่เห็นอย่างนั้น แล้วก็จะไม่สะสมเป็นอนุสัย
จะไม่ทำให้อาสวะไหลนอง นี่เรียกว่า โดยประการอื่น เห็นอะไรโดยประการอื่น รู้สึกอะไร
ประการอื่น จากที่เคยเห็นมาแล้ว มันก็เปลี่ยนแล้ว พูดง่ายๆ ก็เปลี่ยนจากปุถุชนไปเป็น
อริยะเจ้า อริยชน คนชนิดนี้เท่านั้นที่จะเหมาะที่จะอยู่ในโลกที่แสนจะวิปริตดังที่กล่าวมาแล้ว
ข้างต้น ถ้าอยากจะอยู่ในโลกที่แสนจะวิปริตก็รีบสร้างธรรมะอันนี้ ให้เป็นเกราะหุ้มกันภัยไม่ให้
จิตใจกระทบกันกับเขี้ยวของโลกอันแสนจะวิปริต เรียกว่า อยู่ในโลกก็ไม่ถูกเขี้ยวงู ไม่ถูกเขี้ยว
ของโลกนั่นเอง ไม่ต้องนั่งร้องไห้อยู่ ไม่ต้องเป็นทุกข์นอนไม่หลับอยู่ แล้วก็ไม่ต้องหัวเราะใน
ความโง่เขลาเมื่อได้ ไม่เป็นทุกข์เป็นร้อนเมื่อเสีย ไม่หลงใหลในเรื่องได้เรื่องเสีย มีจิตใจที่อยู่
เหนือความหมายการได้-การเสีย อยู่เหนือความล่วงไปแห่งเวลา ซึ่งมีค่าขึ้นมาเพราะอำนาจ
ของตัณหา เวลามีค่าเพราะมีตัณหา เพราะอำนาจของตัณหา เวลาจึงมีค่า พวกคนที่พูดกันว่า
เวลามีค่า เพราะพูดไปอย่างเป็นทาสของตัณหานั้น มันอยากอะไร ต้องการอะไร มันจึงพูด
อย่างนั้น แล้วสอนกันมาแต่ไหนแต่ไร พวกฝรั่งพูดมากเสียอีกว่าเวลามีค่า แล้วคนไทยก็รับกัน
มาว่า เวลามีค่าอย่าให้ค่าของเวลาสูญไป ก็จริงถูกแล้ว เพราะมันมีตัณหา ถ้าไม่ได้ตามตัณหา
ต้องการมันนั่งร้องไห้อยู่ แล้วก็ทำให้ทันแก่เวลา แต่นี่เรามันไปไกลกว่านั้น เราจะขยี้เสียทั้ง
ตัณหา ขยี้เสียทั้งเวลา ถ้าทำลายตัณหาก็เท่ากับว่าทำลายค่าของเวลา เวลาก็ไม่มีค่า ไม่มา
ทำให้เราร้อนอกร้อนใจ นี่เราใช้เวลาอย่างเป็นอิสระกว่าแต่ก่อน ทำแต่ในทางที่ควรทำ ไม่มี
มากมายอะไร แล้วก็ไม่ต้องมีความทุกข์ เรื่องเป็นห่วง เรื่องร้อนใจ เรื่องไม่ได้ทันเวลา แล้วก็
ห่วงอยู่ ร้อนใจอยู่ เหมือนกับตกนรกทั้งเป็นนี้จะไม่มีอีกต่อไป เราจะต้องไม่เหมือนกับตกนรก
ทั้งเป็นอีกต่อไป ในโลกที่มันชวนให้เป็นอย่างนั้นยิ่งขึ้น คือ โลกที่วิปริต
พุทธทาสภิกขุ
#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา
#พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ฉลาดใช้ #เฉลียวคิด #ชีวิตจักสนุก
สุข สงบ เย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น