พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...
พูดอย่างวิชาหรืออย่างปรัชญามันก็พูดอย่างหนึ่ง พอถึงปฏิบัติมัน ก็กลายเป็นอีกอย่างหนึ่ง คำพูดไม่เหมือนกัน จะยกตัวอย่างเรื่อง ปฏิจจสมุปบาทที่ยืดยาว ที่เราสวดกันยาว ๆ นั่นนะ อวิชชาเกิดสังขาร สังขารเกิดวิญญาณ วิญญาณตลอดสายนั้นน่ะ มันเป็นรูปแบบของ ปรัชญา ให้รู้ว่าอย่างนั้น เป็นปรัชญาที่มีเหตุผล ที่พอจะเห็นแจ้งได้ พอที่จะทำให้มันเป็นวิทยาศาสตร์ขึ้นมาได้... ทีนี้พอมาถึงคราว ปฏิบัติ มันมีเพียงแต่ว่า มีสติในเมื่อตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูก กระทบกลิ่น พูดสั้น ๆ ก็ว่ามีสติเมื่ออายตนะทำงาน สั้น ๆ เท่านี้ มีแค่ นี้ก็พอ ปฏิจจสมุปบาทสำหรับรู้ยาวเฟื้อย |
พอปฏิจจสมุปบาทสำหรับปฏิบัติ คือมีสติเมื่ออายตนะทำงาน ก็คือควบคุมได้ที่ผัสสะ เป็นผัสสะแห่งวิชชา
ไว้เสมอ ก็คือปฏิบัติปฏิจจสมุปบาทสำเร็จประโยชน์ทั้งสาย ทุกข์ไม่เกิดนะ มีสติเมื่ออายตนะทั้ง ๖
ทำงานนั่นแหละคือปฏิบัติ เรียกว่าปฏิบัติปฏิจจสมุปบาท ตัวปฏิจจสมุปบาทตั้งสิบสอง อาการ สิบเอ็ด
อาการนั้นน่ะ ยาวเฟื้อยและก็มีเรื่องมาก แล้วก็มันเป็นเรื่องของธรรมชาติ ที่จะเป็นไปอย่างนั้นตาม
ธรรมชาติ เมื่อเราจะควบคุมมัน เรื่องเหลือนิดเดียว ให้มีสติเมื่ออายตนะทั้ง ๖ ทำหน้าที่เท่านั้นแหละ
ก็ควบคุมปฏิจจสมุปบาททั้งหมดได้
พุทธทาสภิกขุ ที่มา : อบรมพระนวกะ #จดหมายเหตุพุทธทาส 2115230905080
#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น