Dhamma together:รู้จักชีวิตตนเองผ่านการรู้จักชีวิตบุคคลที่น่าสนใจ ของจุ๋ม นรีกระจ่าง คันธมาส

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...


ชีวิตของเธอน่าสนใจทีเดียว

เมื่อโชคชะตาทดสอบใจ จุ๋ม-นรีกระจ่าง คันธมาส

หากย้อนเวลากลับไปได้ สิ่งที่จุ๋มอยากเปลี่ยนแปลงมากที่สุดคือเรื่องนิสัยของตัวเอง สมัยที่ร้องเพลงอยู่

กับค่ายเพลงคีตา ตอนนั้นเด็กผู้หญิงจากชนชั้นกลางคนหนึ่งได้รับโอกาสมากมาย กลายเป็นนักร้องที่มี

แต่คนเอาอกเอาใจ สามปีที่อยู่ใน “บ้านคีตา” จุ๋มไม่คิดเลยว่าจะมีวันที่บ้านหลังนี้จะแตกทำให้หลงระเริง

ว่าชีวิตมีแต่คนมาชื่นชม ได้ใช้ชีวิตหรูหราร้องเพลงในงานกาลาดินเนอร์ มีรายได้เดือนละเป็นแสนๆ จึงใช้

อารมณ์กับทุกคนที่อยู่รอบข้าง โดยเฉพาะกับทีมงานจนทำให้เวลาใครเห็นจุ๋มเดินมาก็จะหนีกระเจิง

คล้ายกับว่ายายตัวร้ายมาแล้ว รีบหลบไปดีกว่า ยังไงยังงั้น แต่โชคดีที่ “ความไม่น่ารัก” ของจุ๋มในวันนั้น

เลือนหายไปได้เพราะมีความทุกข์เข้ามาเป็นตัวช่วย …หลังจากค่ายเพลงคีตาปิดตัวลง จุ๋มได้เห็นสัจธรรม

ของความไม่แน่นอน จากที่เราเคย “มี” อะไรในวันนั้น เราก็จะ “ไม่มี” อีกต่อไปวิกฤติครั้งนั้นทำให้จุ๋มหัน

มามองตัวเองชัดๆ อีกครั้ง และพบว่าสิ่งที่ตัวเองเคยทำมานั้นไม่ดีเลย ทั้งใช้อารมณ์ หงุดหงิดง่าย และวีน

ได้ทุกเรื่อง ตั้งแต่ชุดไม่สวยก็โวยวาย รองเท้าไม่ใช่แบบที่ชอบก็โกรธ ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วมีวิธีพูดคุย

จัดการที่ดีกว่านี้ แต่ตอนนั้นกลับเกรี้ยวกราดเอากับคนอื่นตลอดเวลา นี่จึงเป็นหน้าต่างบานแรกๆ ที่เปิดให้

จุ๋มรู้จักตัวเองดีขึ้น จนทุกวันนี้เมื่อพี่ๆ ทีมงานของค่ายเพลงแห่งนี้มาเจอจุ๋มอีกครั้งต่างพูดเป็นเสียเดียวกัน

ว่า “อะไรกันนะที่ทำให้จุ๋มเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้” ถ้าให้อธิบาย จุ๋มต้องบอกว่าจุ๋มได้ค้นพบว่า มนุษย์เรา

มีศักยภาพในตัวสูงมาก เราสามารถที่จะทำทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดี ถ้าเรางัดด้านดีออกมาใช้ เราจะรู้ว่าตัวเอง

ทำอะไรที่เป็นประโยชน์แก่ตัวเองและคนอื่นได้อีกมาก นอกจากนั้นจุ๋มยังได้อ่านหนังสือเยอะมาก

เป็นหนังสือที่เกี่ยวกับศาสนาต่างๆ ทั้งพุทธ คริสต์ ซึ่งทั้งหมดนี้ค่อยๆขัดเกลาจิตใจเราให้อ่อนโยนลง

โดยเฉพาะพุทธศาสนา ที่ช่วยให้จุ๋มเข้มแข็งในขณะที่ชีวิตต้องพบเจอกับมรสุมที่ซัดสาดเข้ามา…

หลังจากที่น้องสาวของจุ๋มตาบอดในปี 2544 อีกราวหกปีต่อมาจุ๋มก็ต้องตั้งสติอีกครั้ง เมื่อสามีล้มป่วย

ด้วยโรคมะเร็ง จุ๋มกับสามีแต่งงานกันเงียบๆ เพราะต่างก็อายุมากด้วยกันทั้งคู่ หลังจากจดทะเบียนสมรสที่

เมืองไทย จุ๋มและสามีวางแผนไปใช้ชีวิตคู่ด้วยกันที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นสถานที่ที่แฟน

จุ๋มทำงานอยู่สัก 2 ปี หลังจากนั้นจะกลับมาใช้ชีวิตที่เมืองไทยด้วยกัน แต่เราใช้ชีวิตคู่อย่างมีความสุขอยู่

ที่ลอนดอนได้เพียงไม่กี่เดือน อาการเจ็บป่วยของสามีก็เริ่มปรากฏให้เห็น เขามีอาการเหม่อลอย

กินอาหารแล้วอาเจียน และมีอาการบางอย่างที่ทำให้เรารู้สึกว่านี่ไม่ใช่ “พี่ตุ้ย” คนเดิม ตอนแรกจุ๋มคิดว่า

เขาคงจะเครียดกับงานมากเกินไป แต่สิ่งที่ปรากฏหลังจากนั้นทำให้รู้ว่าต้องมีความผิดปรกติเกิดขึ้นกับเขา

แน่นอน เพราะวันหนึ่งหลังจากสามีอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ เขาก็เดินไปนั่งสวมรองเท้าที่ม้านั่งหน้าแมนชั่น

เพื่อไปทำงาน ส่วนจุ๋มก็ทำนั่นทำนี่อยู่ในบ้าน แต่พอเดินกลับออกมาอีกที พบว่าสามีนอนหมดสติอยู่ตรง

นั้นแล้ว ในวันนั้นเองเจ้านายของสามีก็ส่งตัวเขากลับประเทศไทยด่วนโดยมีจุ๋มตามกลับมาทีหลัง

ครั้งแรกที่คุณหมอตรวจดูอาการของเขาไม่พบว่ามีความผิดปรกติอะไร เราเลยคุยกันว่าน่าจะเป็นเพราะ

ความเครียด แต่แล้วอาการของเขาก็ทรุดลงเรื่อยๆ จนสุดท้ายคุณหมอต้องเจาะเนื้อเยื่อบริเวณคอมาตรวจ

ผลที่ออกมาทำให้เราสองคนบีบมือกันแน่น คุณหมอบอกว่า เขาเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองระยะสุดท้าย

ฟังแล้วจุ๋มรู้เลยว่า คำว่า “มะเร็ง”มันทำให้คนตายไปแล้วครึ่งตัว แต่สำหรับสามีของจุ๋มเขากลับมีกำลังใจ

ที่เข้มแข็ง และพูดให้เรารู้สึกดีขึ้นว่า เขาจะต้องหาย เพราะเขาเพิ่งแต่งงาน และพูดเล่นกับจุ๋มว่าถ้าทำคี

โมเขาจะไม่หล่อเหมือนเดิมแล้ว จุ๋มเลยได้แต่บอกเขาว่า “ให้หายก่อนเถอะ เรื่องอื่นไม่สำคัญ” จุ๋มตั้งใจ

แต่แรกแล้วว่าจะเป็นภรรยาที่ดี ดังนั้นต่อให้เขาป่วย จุ๋มก็จะอยู่เคียงข้างเขาตลอดเวลา เพราะฉะนั้นระยะ

เวลาเป็นเดือนๆที่เขานอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล จุ๋มก็มานอนที่โรงพยาบาลด้วย ส่วนในช่วงกลางคืนก็

ออกไปร้องเพลงกับศิลปินคนอื่นๆ ของ “Be My Guest” แม้ช่วงเวลานั้นจะผ่านไปอย่างยากลำบาก

แต่จุ๋มคิดว่าจะทำให้เต็มที่ทั้งดูแลสามีและงาน จนวันที่คุณหมอเดินมาบอกว่า สามีคงอยู่ได้ไม่เกินสอง

ชั่วโมงแล้วนั่นแหละ จึงได้เข้าใจอย่างชัดเจนว่าทุกชีวิตไม่ได้เป็นอย่างที่เราต้องการ คนที่เรารักไม่

สามารถจะอยู่กับเราได้อย่างที่ใจคิดจริงๆ ในวาระสุดท้ายของเขา จุ๋มสวดมนต์ให้เขาฟัง โดยมีคุณแม่และ

น้องสาวของเขายืนอยู่ข้างๆ และได้บอกกับเขาว่า “เราจากกันในชาตินี้…แต่สักวันเราจะได้เจอกันในรูป

แบบใหม่” หลังจากนั้นลมหายใจของเขาก็แผ่วลงๆ เรื่อยๆ จนหมดลมหายใจจุ๋มจึงเดินไปบอกพยาบาล

ด้วยใจที่สงบนิ่งว่า “เขาไปแล้ว” โดยไม่ร้องไห้ฟูมฟายแต่อย่างใด เพราะเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอย่างดี

ภาพของเขาในวันที่นอนแน่นิ่ง แบมือให้รดน้ำศพ ยิ่งสอนใจจุ๋มได้หลายอย่าง สอนให้ไม่ประมาทกับ

ความตาย ให้รู้ว่าตัวเราเองก็ไม่สามารถหนีความตายได้พ้น และให้รู้ว่าแม้แต่คนที่เรารักก็ต้องตายจากเรา

ไปไม่วันใดก็วันหนึ่ง หากคนในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่น้องชาย น้องสาว…คนใดคนหนึ่งต้องจาก

เราไป เราก็จะต้องเตรียมตัวเตรียมใจรับให้ได้ อย่าคิดว่า “ยังไม่ถึงคิวของเรา” หรือ “ยังไม่ถึงคิวของคน

ที่เรารัก” เป็นอันขาด ทุกวันนี้แม้สามีจะจากไปแล้ว แต่สำหรับจุ๋มยังรู้สึกเหมือนเขาอยู่ข้างๆ ตลอดเวลา

ยังคอยเป็นกำลังใจให้เราในวันที่อ่อนล้าเช่นเดิม และหลังจากสามีเสียได้ไม่นาน บ้านที่เคยอยู่อาศัยมา

ตั้งแต่เล็กแต่น้อยก็โดนยึด เพราะพ่อนำบ้านไปค้ำประกันให้หลานคนหนึ่ง ถ้าไม่ตั้งสติให้ดี ตอนนั้นจุ๋มคง

ตัดสินใจโกนหัวบวชชีไปแล้ว แต่ด้วยความที่รู้ว่าการหนีไปบวชไม่ได้ทำให้เราเข้าใจชีวิต เป็นได้เพียงแค่

การกลบเกลื่อนความทุกข์เท่านั้น ทำให้จุ๋มใช้เพียงหลักธรรมเป็นหลักยึดเหนี่ยวจิตใจให้ตัวเองและ

ครอบครัว เมื่อไรที่พ่อแม่เริ่มจิตตก เราจะพยายามดึงจิตท่านขึ้นมา อย่างน้องชายเป็นโรคนอนไม่หลับ

แม่ก็จะเป็นทุกข์ว่าทำไมน้องเป็นแบบนี้ทำไมน้องเรียนจบปริญญาโทแล้ว แต่ชีวิตยังไปไม่ถึงไหนเลย

และมีแต่คำถามทำไมๆๆ เต็มไปหมด จนจิตใจหดหู่หม่นหมอง จุ๋มต้องพูดให้ท่านเห็นถึง “ความเป็น

ธรรมดา” ของสิ่งที่เกิดขึ้น ว่าสิ่งใดที่เกิดขึ้นแล้วเราต้องยอมรับมันให้ได้ ไม่ควรหนี ไม่ควรดิ้นทุรนทุราย

แต่ต้องหาทางอยู่กับมันให้ได้ สำหรับจุ๋ม วิธีหนึ่งที่จะทำให้เราอยู่กับปัญหาต่างๆ ได้คือการรู้จักสับคัต

เอ๊าต์ชีวิตตัวเอง เวลาไปทำงานจุ๋มจะไม่แบกความพิการของน้องความตายของสามี ความไม่สมบูรณ์ของ

ครอบครัวขึ้นไปบนเวทีด้วย แต่เราวางไว้ข้างหลัง แล้วทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้ดีที่สุด ให้คนที่เราอยู่ด้วย

ขณะนั้นมีแต่ความสุข ความเบิกบานใจ นอกจากนี้จุ๋มยังเป็นคนค่อนข้างเข้มงวดกับชีวิต เวลาทำอะไรจะ

ทำด้วยใจ ไม่เคยใช้ชีวิตไปวันๆ ถ้ารู้ว่าสิ่งไหนดีจะทำเดี๋ยวนั้นเลย ไม่รีรอ เพราะรู้ว่าเวลาในชีวิตของเรา

เหลือน้อยลงทุกวัน เราต้องเร่งทำแต่สิ่งดีๆ และสิ่งหนึ่งที่จุ๋มทำคือการช่วยเหลืองานของ โรงพยาบาล

ศรีธัญญา ของ กรมสุขภาพจิต บางครั้งที่นี่จะเชิญจุ๋มไปร้องเพลงหรือพูดคุย ซึ่งสร้างแรงบันดาลใจให้

จุ๋มอยากช่วยเหลือคนที่มีความทุกข์ทางใจอย่างจริงจัง นี่คือเหตุที่จุ๋มตัดสินใจเรียนต่อระดับปริญญาโท

ทางด้านจิตวิทยา เพื่อว่าวันหนึ่งข้างหน้าจะได้นำความรู้อย่างเป็นระบบไปช่วยเหลือคนอื่นๆ ต่อไป ยิ่งไป

กว่านั้น จุ๋มยังชอบบริจาคเงินตามตู้รับบริจาคต่างๆ ซึ่งทำให้เราวัดค่าความเห็นแก่ตัวของเราได้อย่าง

ชัดเจน ว่าเราจะเก็บเงินไว้ช็อปปิ้งหรือจะนำเงินส่วนนี้ไปช่วยเหลือผู้อื่น จุ๋มชอบลองดูว่าตัวเองจะทำได้

ไหม ถ้าทำได้ใจเราจะเบิกบานมีความสุข และภูมิใจว่านอกจากจะเลี้ยงดูพ่อแม่และน้องๆ ได้แล้ว

ยังสามารถแบ่งปันให้คนอื่นได้ ที่สำคัญคือ ทำให้เห็นว่าเงินมีค่าก็จริง แต่คนเราสามารถทำตัวให้มีค่าได้

มากกว่าไม่รู้กี่ร้อยกี่พันเท่า ดังนั้น สิ่งที่จุ๋มวางแผนไว้คือการทำรายการ “ธรรมะกับเพลง” ซึ่งจะเป็นการ

หยิบยกเอาเพลงที่ให้กำลังใจมาให้แขกในรายการช่วยกันขบคิดว่าเพลงเหล่านี้ให้แง่คิดดีๆ กับชีวิตเราได้

อย่างไรบ้าง เช่นเพลง“เธอผู้ไม่แพ้” ของ พี่เบิร์ด – ธงไชย แมคอินไตย์ จุ๋มหวังว่าจะช่วยให้คนที่อ่อน

ล้า หมดสิ้นกำลังใจในสังคมยืนหยัดได้อีกครั้ง ณ ตอนนี้หากใครกำลังท้อแท้ จุ๋มอยากส่งความปรารถนา

ดีไปให้และอยากบอกว่า

“ทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมาขอให้ใช้ชีวิตด้วยความตื่นรู้และเบิกบาน"

"ขอให้ผ่านปัญหาทุกอย่างไปได้ด้วยพลังใจอันเข้มแข็งนะคะ” 


• มนุษย์เรามีศักยภาพในตัวสูงมาก เราสามารถที่จะทำทั้งสิ่งที่ดีและ

ไม่ดี ถ้าเรางัดด้านดีออกมาใช้ เราจะรู้ว่าตัวเอง

ทำอะไรที่เป็นประโยชน์แก่ตัวเองและคนอื่นได้อีกมาก

• ตัวเราเองก็ไม่สามารถหนีความตายได้พ้น และให้รู้ว่าแม้แต่คนที่เรา

รักก็ต้องตายจากเราไปไม่วันใดก็วันหนึ่ง หากคนในครอบครัว ไม่ว่าจะ

เป็นพ่อ แม่น้องชาย น้องสาว…คนใดคนหนึ่งต้องจากเราไป เราก็จะ

ต้องเตรียมตัวเตรียมใจรับให้ได้ อย่าคิดว่า “ยังไม่ถึงคิวของเรา” หรือ

“ยังไม่ถึงคิวของคนที่เรารัก” เป็นอันขาด

• ทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้ดีที่สุด ให้คนที่เราอยู่ด้วยขณะนั้นมีแต่

ความสุข ความเบิกบานใจ




• ถ้ารู้ว่าสิ่งไหนดีจะทำเดี๋ยวนั้นเลย ไม่รีรอ เพราะรู้ว่าเวลาในชีวิต

ของเราเหลือน้อยลงทุกวัน เราต้องเร่งทำแต่สิ่งดีๆ

• เงินมีค่าก็จริง แต่คนเราสามารถทำตัวให้มีค่าได้มากกว่าไม่รู้กี่ร้อย

กี่พันเท่า

• อย่าประมาทกับความตาย จงเตรียมตัวรับมืออยู่เสมอ

• รู้จักสับคัตเอ๊าต์ชีวิตตัวเอง

เมื่อมีปัญหาอย่านำไปปะปนกับงานหรือเรื่องอื่นๆ

ต้องเร่งสร้างแต่กรรมดี

เพราะเราไม่อาจรู้ได้ว่าตัวเองจะมีชีวิตยืนยาวแค่ไหน

Secret Box แง่คิดดีๆ จากชีวิตคุณจุ๋ม – นรีกระจ่าง คันธมาส


#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Select your language