พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...
อาตมาชอบฟุตบอลมาก ตอนอายุ ๗ – ๘ ขวบ เป็นครั้งแรก ที่โยมพ่อพาไปดูบอล ตอนนั้น
เราก็อยู่ใกล้เมืองเซาท์แทมตั้น แล้วก็ไปดูบอล อาตมาดูแล้วรู้สึกว่ามันขาดอะไรสักอย่าง
มันดี มันดีมาก แต่มันขาดอะไรสักอย่าง มันขาดไม่มีพากย์ ก็เราเคยดูกีฬาแต่ในทีวีซึ่งจะมี
พากย์คอยขยาย คอยอธิบาย อยู่ตลอดเวลา ไปดูเขาเล่นจริงๆ นั้นไม่มีพากย์ รู้สึกว่าขาด
อะไรสักอย่าง
จิตใจของเรามีการพากย์อยู่ตลอดเวลา มีวิพากษ์วิจารณ์ ดีใจ เสียใจ อุทาน มันก็ชินอยู่กับตัวนี้ ทำให้เกิดมีกำแพงระหว่าง เรากับประสบการณ์ความจริง...คนเราชินกับการมีเสียงอยู่ใน ใจอยู่ตลอดเวลา เป็นพากย์ เป็นการวิเคราะห์ การสรุปเข้า ข้างตัว บ้างอะไรบ้าง อันนี้ต้องฝึกให้ไม่ต้องมีพากย์ สงบ ก็ดู มันไป รู้มันไป อะไรจะเกิดให้มันเกิด สิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็น ธรรมดา |
สิ่งนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา สิ่งใดมีความเกิด มีความดับแล้ว ไม่ใช่เป็นสิ่งไม่มีสาระ ธรรมะที่
ท่านให้ชื่อว่า อมตะธรรม คือไม่เกิดไม่ตาย เราต้องการจะน้อมจิตไปสู่สิ่งที่ไม่เกิดไม่ตาย
เราจะไปหลงใหล จะเพลิดเพลิน จะยึดติดในสิ่งเกิด-สิ่งตาย ไม่ได้ ค่อยๆ วาง วาง วาง
จิตใจก็ผ่องใสขึ้น ความเชื่อ ความตั้งใจมั่นก็ปรากฏ
ชยสาโรภิกขุ
#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น