พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...
ในสมัยพุทธกาล เวลาที่พระอริยสาวกเจอกัน ท่านมักจะถามกัน ว่า “ท่านสารีบุตรท่านอยู่ด้วยวิหารธรรมอะไร” พระสารีบุตรก็จะ ตอบว่า “ช่วงนี้ผมอยู่ด้วยเมตตาพรหมวิหาร” “ช่วงนี้ผมอยู่ด้วย สุญญตาพรหมวิหาร” หรือ “ช่วงนี้ผมอยู่ด้วยกรุณาพรหมวิหาร” คำว่า “วิหาร” แปลว่า คุณธรรมประจำจิตประจำใจ เราทุกคนควร จะฝึกจิตฝึกใจของเรา ให้มีเมตตาเป็นเรือนใจ เอาไว้เป็นพื้นฐาน ถ้าเรามีเมตตาเป็นเรือนใจ เป็นพื้นฐานอยู่ตลอดเวลา ถึงเวลา โกรธขึ้นมา เราไม่ต้องภาวนามากมาย แค่กลับมาแผ่เมตตาใน จิตในใจให้ตัวเอง แล้วก็ให้คนที่เขาทำให้เราโกรธ แค่นั้นเอง |
แม่น้ำแห่งเมตตาก็จะแสดง ปาฏิหาริย์แห่งความชุ่มเย็นให้ปรากฏ
การที่คนจำนวนมากแผ่เมตตาแล้วไม่ได้ผล เพราะเขามัวแต่จะแผ่เมตตา แต่ไม่มีเมตตาที่จะนำไปแผ่
เห็นไหม ก่อนแผ่เมตตา จะต้องสร้างเมตตาจิตขึ้น ในจิตในใจของตัวเอง จนกระทั่งว่าให้ผล เป็นความ
ชุ่มเย็นในจิตในใจของตัวเองก่อน แล้วจากนั้นจึงค่อยแผ่ออกไป กระแสแห่งเมตตาก็จะค่อยๆ เลื่อนไหล
ไปถึงคนที่เป็นเป้าหมายที่เราแผ่เมตตาให้เขา คนจำนวนมากที่แผ่เมตตาแล้วไม่ได้ผล เพราะเขาแผ่
เมตตาแต่ปาก แต่ใจของเขานั้นยังเต็มไปด้วย ความโกรธอยู่เหมือนเดิม ฉะนั้นรากฐานของการแผ่เมตตา
ที่แท้จริงอยู่ที่ใจ ไม่ใช่ที่ปาก ส่วนถ้อยคำสำหรับแผ่เมตตานั้น ไม่สำคัญหรอกว่า จะเป็นภาษาบาลีหรือ
ภาษาไทย ขอเพียงเรานึกแผ่ความปรารถนาดี ออกไปจากใจเราอย่างแท้จริง พลังของจิตก็จะกระทบจิต
ที่เป็นเป้าหมายได้โดยตรง อย่ากังวลต่อถ้อยคำ แต่จงกังวลว่า เวลาที่เราแผ่ความปรารถนาดีไปให้ใคร
เรามีความจริงใจอยู่ในนั้นหรือเปล่า . ถ้าเรามีความจริงใจที่ปรารถนา จะให้เขาอยู่ดีมีความสุข แม้ไม่ต้อง
ท่องออกมาเป็นถ้อยคำ แต่ใช้เพียงกระแสแห่งจิตที่คิดถึงเขา ในทางกุศลแค่นั้น การแผ่เมตตาก็สำเร็จ
เหมือนกัน
พระเมธีวชิโรดม
ท่าน ว.วชิรเมธี
เครดิต https://goodlifeupdate.com
#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น