Dhamma together:การบอกและย้ำเตือนความจริง ช่วยเตือนใจไม่ให้เพลิดเพลินในความสุขอันเป็นของชั่วคราว

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...



พุทธศาสนาเป็นมากกว่าสิ่งปลอบประโลมใจ ผู้คนเข้าวัดหรือ

นับถือพุทธศาสนาด้วยเหตุผลที่หลากหลาย แต่เหตุผลหลัก

ย่อมได้แก่การแสวงหาสิ่งปลอบประโลมใจหรือให้ความหวัง

แก่ชีวิต หลายคนเข้าวัดเพื่อหวังว่าบุญกุศลจะช่วยเสริมสร้าง

สิริมงคลหรือปัดเป่าอันตราย บ้างก็มาสะเดาะเคราะห์เพราะ

หวังว่าโรคร้าย หนี้สิน และเคราะห์กรรมทั้งปวงจะมลายไป

ประสบแต่ความมั่งมีศรีสุข ได้รับความสำเร็จ

ส่วนคนที่สูญ เสียคนรัก ก็หวังว่าทานที่ถวายแก่สงฆ์จะช่วยให้ผู้ล่วงลับไปสู่สุคติ ไม่เพียงการ

มาวัดจะช่วยคลายความเศร้าโศกเท่านั้น หากยังช่วยบรรเทาความรู้สึกผิดที่เคยทำไม่ดีกับ

คนรัก ด้วยการทำบุญอุทิศให้แก่เขา ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ คนรัก หรือลูกในท้อง คนจำนวน

ไม่น้อยมาวัดเพราะปรารถนาน้ำมนต์และวัตถุมงคลเพื่อเป็นที่พึ่งทางใจ ด้วยความเชื่อว่าได้มา

แล้วจะแคล้วคลาดจากอันตราย ประสบความสุขความเจริญ มีหลายคนที่ไม่เชื่อเรื่องเหล่านี้

แต่แค่มาวัด ได้กราบพระพุทธรูป เห็นพระพักตร์อันสงบอิ่มเอบ ความร้อนใจก็บรรเทาลง

เกิดกำลังใจในการสู้ชีวิตต่อไป กล่าวได้ว่าหน้าที่หลักประการหนึ่งของพุทธศาสนาในสังคม

ไทยก็คือ การให้ความหวังและกำลังใจ รวมทั้งช่วยให้สบายใจ นี้คือแรงดึงดูดสำคัญที่ทำให้

ผู้คนเข้าหาวัดและนับถือพุทธศาสนา อย่างไรก็ตามพุทธศาสนายังมีบทบาทหลักอีกประการ

หนึ่ง ที่มิอาจมองข้ามได้เลย นั่นคือ การกระตุก เขย่า และกระทุ้งจิตใจของผู้คน เพื่อให้พ้น

จากความหลงและความประมาทด้วย ในขณะที่พุทธศาสนาให้ความหวังแก่เราว่า

เมื่อทำความดี หมั่นสร้างบุญกุศล ก็จะประสบความสุขความเจริญ อีกด้านหนึ่งพุทธศาสนา

ก็เตือนเราซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า ความสุขความเจริญนั้นไม่เที่ยง ลาภและยศนั้นมีแล้วก็หมด

มาแล้วก็ไป ความมั่งมี อำนาจ และความสำเร็จ แม้ให้ความสุขแก่เราก็จริง แต่ก็เจือไปด้วย

ทุกข์ ทำให้เดือดเนื้อร้อนใจหากยึดติดถือมั่น เราจึงไม่ควรยึดเป็นสรณะ ในขณะที่น้ำมนต์และ

วัตถุมงคลที่ได้จากวัดให้ความหวังว่าเราจะหายป่วยหายไข้ อีกด้านหนึ่งพุทธศาสนาก็ย้ำว่า

เราทุกคนหนีความแก่ ความเจ็บ และความตายไม่พ้น ชีวิตที่ผาสุก ร่ำรวย พรั่งพร้อมด้วยวัตถุ

ในที่สุดก็จะต้องจบสิ้น มีมากมายเท่าไรก็เอาไปไม่ได้เลยแม้แต่สลึงเดียว ใช่แต่เท่านั้นขณะที่

ชีวิตยังไม่สิ้น เรายังต้องพบกับความพลัดพรากสูญเสีย ไม่ว่าคนรักของรัก ล้วนอยู่กับเราเพียง

ชั่วคราวเท่านั้น พุทธศาสนาไม่เพียงแต่บอกเราว่า ทุกอย่างล้วนไม่เที่ยง หากยังย้ำอีกว่า

ทุกอย่างล้วนเป็นทุกข์ คือนอกจากจะไม่คงทน ต้องเสื่อมดับไปแล้ว ยังบีบคั้นแก่ผู้ยึดถือ

เป็นเสมือนของร้อนหรือคบไฟที่กำไว้ได้ไม่นานก็ต้องรีบปล่อย ใช่แต่เท่านั้นความทุกข์ยังอยู่

กับเราตลอดเวลาและรอเราอยู่ข้างหน้าด้วย “เราทั้งหลายเป็นผู้ที่ถูกความทุกข์หยั่งเอาแล้ว

เป็นผู้ที่มีความทุกข์เป็นเบื้องหน้าแล้ว” คือข้อความตอนหนึ่งในบทสวดทำวัตรเช้าที่ชาวพุทธ

จำนวนมากคุ้นเคย นี้คือคำสอนของพุทธศาสนาที่ตีแผ่ความจริงให้เราตระหนัก แต่เป็น

ความจริงที่คนส่วนใหญ่ไม่อยากฟัง เพราะสั่นคลอนความรู้สึกของผู้คนที่ปรารถนาจะให้ชีวิตนี้

ยั่งยืน เต็มไปด้วยความสุข อยากให้ของรักคนรักอยู่กับเราไปตลอดชั่วฟ้าดินสลาย ความจริง

ดังกล่าวเป็นสิ่งที่เสียดแทงหรือสั่นคลอนความรู้สึกของผู้คน จนไม่อยากได้ยิน ยิ่งกว่านั้น

พุทธศาสนายังย้ำเตือนว่า ไม่มีอะไรที่ยึดมั่นเป็นตัวเราของเราได้เลย แม้แต่ตัวเราหรือ “ตัวกู”

ก็ไม่มีจริง เพราะทุกอย่างเป็นอนัตตาทั้งนั้น ไม่ว่าใครก็ตามเพียงแค่ได้ยินว่า ตัวกู ไม่เที่ยง

ต้องตาย ก็ไม่สบายใจแล้ว ยิ่งพระมาบอกว่า ตัวกู ไม่มีจริง เป็นแค่มายาภาพ ก็ยิ่งรับไม่ได้

อย่างไรก็ตามการบอกและย้ำเตือนความจริงเหล่านี้คือหน้าที่สำคัญที่สุดของพุทธศาสนา

เพราะช่วยเตือนใจไม่ให้เพลิดเพลินในความสุขอันเป็นของชั่วคราว หรือติดยึดในยศ ทรัพย์

อำนาจ จนกลายเป็นทาสของมัน และพร้อมที่จะทำชั่วเพื่อมัน จนแม้ยอมตายเพื่อมัน

พระไพศาล วิสาโล

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Select your language