พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...
อาตมาอยากจะบอกท่านว่า ที่นี่ก้อนหินก็พูดได้ ต้นไม้ก็พูดได้; เว้นแต่ว่า หูของคนฟังจะดี
หรือไม่ดี. ท่านลองคิดดูว่า ต้นไม้พูดได้ ก้อนหินพูดได้ นี้เป็นอย่างไร, แม้แต่เม็ดกรวดเม็ดทราย
ก็พูดได้. ที่แท้ก็เป็นเรื่องที่ท่านมองเห็นกันอยู่แล้ว แต่ว่ากลับไม่เห็น หรือมองข้ามไป
เมื่อเรานั่งที่ก้อนหิน หรือเพ่งดูธรรมชาติเช่นก้อนหินก้อนใด นาน ๆ ความคิดอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น เป็นความคิดชนิด ที่ไม่อาจจะเกิดเวลาอื่นหรือที่อื่น แต่มันเกิดเฉพาะเมื่อเรานั่ง ใกล้ก้อนหินก้อนนี้ เราก็ถือว่าก้อนหินก้อนนี้พูดได้ หรือเมื่อเรา นั่งใต้โคนต้นไม้ต้นนี้ เราเกิดความรู้สว่างแจ่มแจ้ง หรือแม้แต่ ความคิดอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่อาจจะเกิดเมื่อเรานั่งในที่อื่น เราก็ถือว่าต้นไม้ต้นนี้พูดได้ หรือแม้ที่สุดแต่ ลักษณะต่าง ๆ คือลักษณะแห่งอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ที่แสดงอยู่ที่ก้อนหิน ที่ต้นไม้เป็นต้นนั้น ก็ถือว่าเป็นการพูดของมัน คนไม่อ่าน ไม่ฟัง ไม่คิด นี้เรียกว่าคนหูหนวกตาบอด.
|
ทั้งหมดนี้เรียกว่า คนใกล้ชิดกับธรรมชาติ เข้าถึง ธรรมชาติ เสพคบธรรมชาติ จนกระทั่งอ่าน
ธรรมชาติได้ พระพุทธเจ้าท่านก็รวมอยู่ในคนจำพวกนี้. หรือว่าคนเป็นอันมากในประเทศอินเดีย
ในยุคอุปนิษัทคือยุคพุทธกาลนั้น ก็มีลักษณะเช่นนี้ จึงได้เกิดการตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา.
คนสมัยนี้เอาแต่เล่น เอาแต่กิน เอาแต่หัวเราะ เอาแต่สรวลระริกซิกซี้อยู่ตลอดเวลาไม่ว่าที่ไหน
มันจึงมีจิตใจที่เป็นไปในรูปอื่น อ่านธรรมชาติไม่ออก เป็นเพื่อนกับธรรมชาติไม่ได้.
เพราะฉะนั้นแหละ การที่ท่านทั้งหลายจะมีโอกาสเมื่อไรก็ตาม ได้ใกล้ชิดธรรมชาติกันเสียบ้างนั้น
ควรจะถือว่าเป็นโชคดี ท่านมาที่นี่ ก้อนหินก็จะบอกว่า ไม่มีอะไรเป็นของท่าน ต้นไม้ก็จะบอกว่า
ไม่มีอะไรเป็นของท่าน แม้ไส้เดือนจะพูด ก็ต้องพูดว่าไม่มีอะไรเป็นของท่าน แล้วมันก็เป็น
ความจริง ตรงที่ว่าเมื่อท่านนั่งอยู่ที่นี่มันไม่มีอะไรเป็นของท่าน ท่านจึงมีความรู้สึกในใจสงบเย็น
เป็นสุข ชนิดที่ไม่เคยมีที่บ้าน
พุทธทาสภิกขุ
#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา
#พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ฉลาดใช้ #เฉลียวคิด #ชีวิตจักสนุก
#สุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น