พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...
วันเข้าพรรษามีความหมายตามทางพระวินัยว่า จะไม่จาริกไปในฤดูฝน แล้วก็มีความหมายทางพระธรรมว่า จะมุง จะมุงบังเรือนหลังคาเรือนให้ดี อย่าให้ฝนรั่วรดได้ ที่นี่ก็ควรจะได้ กล่าวในข้อที่ว่า จะมุงจะบังกันอย่างไรด้วยอะไร ในที่นี้ขอกล่าว อย่างสั้น ๆ ก่อนว่าจะมุงด้วยสติหรือปัญญา (อุปมาฝนนี้ว่าเหมือนกับกิเลสซึ่งซึ่งรั่วรดจิต ถ้าจิตอบรมไว้ไม่ดี กิเลสก็รั่วรดจิต) สิ่งที่จะมุงหลังคามิให้รั่ว เปรียบได้กับสติ คือ มีสติทันเวลา แต่ว่าสตินั้น ต้องประกอบไปด้วยปัญญา คือมีความรู้ มีความรู้ว่าอะไรเป็นอะไร อะไรเป็นอย่างไร สำหรับสติจะได้นำมาทันเวลา แก้ไขสถานการณ์ที่เกิดขึ้น |
เพียงเท่านี้ ท่านทั้งหลายก็ควรจะได้ทราบว่า สติกับปัญญา ต้องเป็นของคู่กัน ปัญญาคือ ความรู้
รู้ว่าอะไรเป็นอะไร นี่ต้องมี แต่ก็ต้องมีสติเป็นเครื่องนำเอาความรู้นั้นมาให้ทันเวลา คือ ทันเหตุการณ์
ที่เกิดขึ้น ถ้าสติไม่มี ไม่มีอะไรนำมา ปัญญาก็เป็นหมัน คือไม่มีประโยชน์อะไร ถ้ามีแต่สติไม่มีปัญญา
ก็ไม่รู้ว่าจะนำอะไรมา คือไม่รู้ว่าจะระลึกอะไรขึ้นมา ให้เป็นเรื่องเป็นราว สติจึงเป็นเหมือนเครื่องนำ
ปัญญามาใช้ให้ทันเวลาในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สติความระลึกได้นั้นคือ ระลึกได้ว่าอะไรเป็นอะไร
แล้วก็นำความรู้อันนั้น มาใช้แก้ไขสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างนี้แล
สติกับปัญญาเป็นของเนื่องกัน แล้วยังจะแถมสัมปชัญญะเข้ามาอีกสักคำนึง คือว่าเมื่อสตินำปัญญา
มาแล้ว ก็ทำให้รู้สึกตัวอยู่อย่างนั้นอยู่ตลอดเวลา ตอนนี้เป็นสัมปชัญญะ มีความรู้ที่อยู่ตลอดเวลา
แก้ไขสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ เรียกว่า สัมปชัญญะ สตินำเอาปัญญามา ทำให้เป็นสัมปชัญญะแก้ไข
สถานการณ์อยู่ จะเห็นได้ว่ามีอยู่ 3 สิ่งหรือ 3 เรื่อง มีสติอย่างหนึ่ง มีปัญญาอย่างหนึ่ง มีสัมปชัญญะ
อย่างหนึ่ง ที่นี้จะมีสติเมื่อไหร่ ก็มีสติเมื่อมีอารมณ์มากระทบ อารมณ์คืออะไร อารมณ์คือสิ่งที่จะมา
กระทบตา กระทบหู กระทบจมูก กระทบลิ้น กระทบกาย กระทบใจ เมื่อมีอารมณ์มากระทบตา เป็นต้น
ก็จะต้องมีสติเกิดขึ้นควบคุม มีความรู้เรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาเป็นต้น อยู่ในปัญญา หรือในความรู้ที่
สตินำมา แล้วก็คงพิจารณาสิ่งนั้น ๆ โดยความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาอยู่ อารมณ์นั้นก็จะไม่ปรุงแต่ง
จิตให้เกิดกิเลสได้ ยกตัวอย่างเหมือนว่า มีรูปสวยมากระทบตา ก็มีสติระลึกได้ทันควัน นำเอาปัญญา
มาพิจารณาอยู่ ว่า โอ้,นี่ก็เป็นแต่เพียงรูป รูปเท่านั้น ๆ และรูปที่มีความสวย อยู่ตามธรรมดา
ซึ่งมีความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาอยู่ในความสวยนั้น ก็ไม่หลงใหลในความสวยของรูปนั้น
แม้จะเป็นที่สบายแก่ตา เพราะความสวย ก็รู้สึกว่า รู้แจ้งว่า เป็นสักว่าเป็นเช่นนั้น สบายแก่ตา
ก็เป็นสักว่าเวทนา ไม่มีความเป็นตัวตน อะไรที่ไหนเป็นเช่นนั้นเองตามธรรมชาติในโลกนี้
คนมันโง่มาตั้งแต่เกิด ถ้าสวยมันก็ชอบ ถ้าไม่สวยมันก็ไม่ชอบ นั่นคือไม่มีปัญญา ถ้ามีปัญญาก็จะรู้ว่า
สวยก็เช่นนั้นเอง ไม่สวยก็เช่นนั้นเอง ไม่จำเป็นจะต้องแยกว่า สวยแล้วก็รักก็พอใจจนเกิดราคะ
หรือโลภะ ไม่ใช่ว่า ไม่สวยแล้วก็ไม่พอใจ จนเกิดโทสะหรือโกธะ
พุทธทาสภิกขุ #๑๑๑ปีพุทธทาส
#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา
#พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ฉลาดใช้ #เฉลียวคิด #ชีวิตจักสนุก
สุข สงบ เย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น