พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...
|
“ชาวพุทธเราควรจะอยู่ด้วยความไม่เป็นทุกข์ หรือให้ทำใจให้เป็น สุขอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้น ฝนจะตก ฟ้าจะร้องหรือว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น...ในวิถีชีวิตของเรา เราไม่ควรเป็นทุกข์ในเรื่องนั้นๆ แต่เราควรจะใช้สติปัญญา เป็นเครื่องพิจารณา แล้วรู้จักปลง รู้จักวางในสิ่งนั้นๆ ไม่ควรเข้าไปยึดถือด้วยความโง่ ด้วยความเขลา” “เพราะถ้าเราเข้าไปยึด ไปถือ ด้วยความโง่ความเขลา เราก็เป็นทุกข์ มันไม่ได้ประโยชน์อะไรแม้แต่น้อย ที่นั่งเป็นทุกข์ แต่เป็นการลงโทษตัวเอง ลงโทษสุขภาพจิต |
สุขภาพกาย ทำให้จิตเสื่อม ทำให้ร่างกายทรุดโทรม แก่เร็ว แล้วก็ตายเร็วด้วย เพราะว่ามี
ความทุกข์มาก มีความกลุ้มใจมาก ตัดทอนสุขภาพทั้งกายทั้งใจ ไม่เป็นเรื่องดีแม้แต่น้อย”
“ความทุกข์เป็นเหมือนน้ำร้อน เราคิดให้มันเป็นทุกข์ ก็เหมือนเอาน้ำร้อนมาราดตัว
ตั้งแต่หัวถึงตีน ถลอกปอกเปิก เป็นคนดำๆ ด่างๆ ไป
มันจะได้เรื่องอะไร เราไม่ควรจะคิดเช่นนั้น....
เมื่อมีอะไรเกิดขึ้นเฉพาะหน้า ให้พยายามคิดว่า ดีแล้ว...พอแล้ว หรือ “เท่านี้ก็ดีถมไปแล้ว”
อย่างนี้ใจก็สบาย...ให้นึกว่า ธรรมดา...มันเป็นเช่นนั้นเอง”
“คำนี้สำคัญมาก เรียกว่าเป็นคาถาวิเศษ สำหรับเอาไปใช้ในชีวิตประจำวัน คือคำว่า ตถาตา
แปลว่า มันเป็นเช่นนั้นเอง อะไรๆมันก็เป็นอย่างนั้นแหละ เราจะไปบังคับมันก็ไม่ได้ จะไปฝืนมัน
ก็ไม่ได้ เพราะมันไม่ได้อยู่ในอำนาจของเรา”
“เราควรจะคิดว่า เออธรรมดามันเป็นอย่างนี้ เรานึกอย่างนี้ ก็พอจะปลง พอจะวางสภาพจิต
ก็พอจะรู้เท่า รู้ทัน ในสิ่งนั้นๆ ความทุกข์ ก็จะเบาลง เพราะเรารู้จักวาง รู้จักพักผ่อนทางใจ
ใจก็สบาย...”
ท่านเจ้าคุณพระพรหมมังคลาจารย์ (ปัญญา นันทะภิกขุ)
เคยปาฐกถาธรรมไว้
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 22 มิ.ย.2529
http://www.thairath.co.th/content/519545
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น