Dhamma together:ผู้ที่พร้อม รู้จักสันโดษ รู้จักพอ รู้จักเมตตากรุณาช่วยผู้อื่น...

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ... 

 พระพุทธเจ้าไม่ได้ห้ามไม่ให้ร่ำรวยเป็นเศรษฐี แต่คำว่า

"เศรษฐี"ในสมัยพุทธกาล ไม่ตรงกับความหมายของ"นายทุน"

ในปัจจุบัน

" คำว่าเศรษฐี ครั้งพุทธกาล มันไกลกันลิบลับกับพวกนายทุน

สมัยนี้ ในโลกปัจจุบันนี้ ระเบียบปฏิบัติหรือกฎบัญญัติมันก็

ต่างกัน สำหรับนายทุนในโลกปัจจุบันนี้ ในโลกฝรั่งด้วยแล้ว

เขาก็ไม่มีอะไร เขาก็เป็นเสรีประชาธิปไตย เขามีสติปัญญา

เขาก็กว้าน กอบโกย กำไรมหาศาล จนไม่รู้ว่าจะมีกำไรกัน

อย่างไร เขาก็เป็นนายทุน ความคิดก็จะมุ่งอยู่แต่ที่จะหาให้มัน

มากไปอีก จนเป็นบ้าเพราะมีเงินมาก

ทีนี้ถ้าว่าเป็นเศรษฐีสมัยพุทธกาลมันไม่ใช่อย่างนั้น เพราะเขายังรู้จักคำสอนที่ว่าให้รู้จักสันโดษ

ให้รู้จักพอ แต่พร้อมกันนั้นก็ให้รู้จักเมตตากรุณาช่วยผู้อื่น ... เศรษฐีก็มีวิธีปฏิบัติ คือว่า

จะต้องมีโรงทาน เขาเรียก อาวัสถะปิณฑะ ก้อนข้าวสำหรับคนอนาถา คนยากจน ใครไม่มีจะกิน

ก็ไปเอาได้ที่โรงทาน ฉะนั้นเศรษฐีคนไหนเป็นเศรษฐีร่ำรวยมากก็คือมีโรงทานนี้มาก ก็ชั่งหรือวัด

เศรษฐีกันด้วยว่า มีโรงทานมาก หรือมีโรงทานน้อย ฉะนั้น เศรษฐีก็ผลิตผลประโยชน์มาใส่ยุงฉาง

ใส่คลังอะไรไว้ มันก็เพื่อใช้จ่ายเกี่ยวกับโรงทานเป็นส่วนใหญ่ ภิกษุวันไหนบิณฑบาตไม่ได้ จะไป

เอาที่โรงทานอย่างนั้นก็ได้ แต่พระพุทธเจ้าท่านก็ยังบัญญัติไว้ว่า เอาได้สองสามครั้งเท่านั้น

เอาได้เพียงสองสามวัน แล้วอย่ามาเอาอีก เรื่องส่วนเกินมันไม่มีอยู่อย่างนี้

ฉะนั้น เศรษฐีก็คือผู้ที่พร้อม หรือว่าตลอดเวลานี้เขาทำสังคมสงเคราะห์ ฉะนั้น จึงมีความสมควรที่

จะผลิตให้มาก ผลิตให้ตนเองเหลือเกิน แล้วก็ไปทำสังคมสงเคราะห์ ด้วยการสร้างโรงทาน

ให้มากขึ้น"

พุทธทาสภิกขุ

#ทบทวนธรรม #ธรรมะประดับใจ #ธรรมะเข้าใจง่าย

#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่าน #อ่านหลายรอบ ##คิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา

#พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ฉลาดใช้ #เฉลียวคิด #ชีวิตจักสนุก

#สุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Select your language