พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...
นักปฏิบัติธรรมจะคุ้นเคยกับความสงบประเภทนี้ คือ เวลาที่อยากได้ความสงบก็จะปิดตา
ให้จิตอยู่กับที่ เช่น อยู่กับลมหายใจ อาจจะมีคำบริกรรมเพื่อเกาะเกี่ยวใจไว้ไม่ให้ไปรับรู้อะไร
ทั้งอดีต อนาคต หรือปัจจุบันรอบตัว ก็จะได้ความสงบสมใจ แต่ความสงบแบบนี้มีข้อจำกัด
คือ ต้องอาศัยสิ่งแวดล้อมมาก หากเรากำลังนั่งสมาธิอยู่ในห้องแอร์ แล้วมีใครสักคนส่งส่ง
ไอจาม หรือหากมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมากลางห้อง หรือมีเสียงรบกวนจากภายนอก ใจเราก็
ไม่สงบแล้ว...นักปฏิบัติธรรมหลายคนจะพบว่าความสงบใจที่เกิดจากการไม่รับรู้อะไรนั้น
มันค่อนข้างจะง่อนแง่นคลอนแคลนง่าย นักปฏิบัติธรรมคนหนึ่ง ปฏิบัติธรรมอยู่ในห้องแอร์
ทั้งวัน ขณะปฏิบัติอยู่ก็สงบมาก เวลาย่างเท้าซ้าย ขวา จิตก็นิ่งอยู่กับการเคลื่อนที่ของร่างกาย
ปฏิบัติธรรมจนถึง ๔ - ๕ โมงเย็น ครั้นได้เวลาเลิกก็กลับลงมาจากห้องประชุมเพื่อจะขับรถ
กลับบ้าน มาพบว่ารถของตนเองถูกรถอีกคันจอดซ้อนคัน เกิดโมโหขึ้นมาทันที ส่งเสียงด่า
รุนแรงมาก ความสงบที่เกิดขึ้นตลอดทั้งวันอันตรธานหายไปเพราะประสบกับสิ่งที่ไม่สมควร
ไม่ถูกต้อง หรือสิ่งที่ขัดใจ จิตจึงกระเพื่อม โทสะเกิด ผลก็คือใจไม่สงบเสียแล้ว อย่าคิดว่า
ถ้าเราใจสงบเพราะตัดการรับรู้แล้ว เราจะพบสิ่งที่น่าพอใจไปตลอด
เราต้องยอมรับความจริงว่า เราไม่สามารถจะพบเจอ เหตุการณ์ที่น่าพึงพอใจได้ตลอดเวลา แม้วันนี้ อาจจะไม่มีอะไรขัดใจเรา แต่พรุ่งนี้ก็อาจจะมี เราไม่สามารถบังคับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่แวดล้อมเรา ให้ถูกใจเราได้ทั้งหมด แม้แต่คนใกล้ชิด เช่น ลูก สามี ภรรยา ลูกน้อง ก็อาจทำอะไรที่ไม่ถูกใจเราได้ นับประสาอะไรกับคนไกลตัว ดินฟ้าอากาศ การจราจร และเราก็หนีมันไม่พ้น... เราต้องเจอ ต้องสัมผัส ต้องได้ยิน ได้เห็นได้รับรู้สิ่งที่ไม่ถูกใจ
|
เราตัดการรับรู้สิ่งต่าง ๆ ไม่ให้มีการรับรู้ได้เพียงชั่วคราว สุดท้ายก็ต้องออกมารับรู้
เพราะฉะนั้น หากเราพึ่งแต่ความสงบแบบนี้ก็คงไม่พอ
พระไพศาล วิสาโล
#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา #พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ชีวิตสุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น