Dhamma together:ให้เอาสติมาตั้งมั่นลงที่ธรรม

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...



ให้เอาสติมาตั้งมั่นลงที่ธรรม (หมายเอาธรรมารมณ์

อารมณ์ที่เกิดจากอายตนะทั้งหก แล้วจิตไปยึดถือเอา

มาเป็นตัวเป็นตน) แล้วให้เพ่งพิจารณาธรรมารมณ์นั้นว่า

มันเกิดขึ้นจากอายตนะภายในกับอายตนะภายนอก

กระทบกัน หาได้มีสาระแก่นสารอะไรไม่ เป็นอนัตตา

เกิดขึ้นมาแล้วก็ดับไป ๆ ติดต่อกันอยู่อย่างนั้น ไม่เพียง

ทำผู้เข้าไปยึดเป็นทุกข์เปล่า อุปมาเปรียบเหมือนเหล็ก

ไฟกระทบกับหินแล้วก็เกิดแสงประกายขึ้นวูบหนึ่งแล้ว

ดับไป ผู้ที่ไปชอบแลติดใจในอารมณ์นั้น ๆ อยากได้แล

อยากเห็นประกายอันนั้นก็เอาเหล็กมาตีกับหินอีก 


สัญญาความจำในอารมณ์นั้น ๆ ก็เป็นอนัตตาไม่เที่ยง เกิดดับเหมือนกัน สังขารความปรุงแต่ง

ในอารมณ์นั้น ๆ ก็เป็นอนัตตาไม่เที่ยงเกิดดับเหมือนกัน เมื่อจิตรักใคร่ชอบใจปรารถนา

อยากได้ แต่อารมณ์นั้น ๆ ไม่เที่ยงหายไป จึงใช้สัญญาเก่านั้นไปยึดเอาอารมณ์นั้น ๆ มาให้

สังขารปรุงแต่งใหม่อีก แล้วก็หลงว่าเป็นของใหม่ทำให้ติดอกติดใจยิ่ง ๆ ขึ้น เมื่อชอบใจรัก

ใคร่มากขึ้นความปารถนาก็มีมากขึ้น สัญญาความจำแลสังขารความปรุงแต่งก็ถี่ยิบขึ้น

จนปรากฏเห็นว่าเป็นของเที่ยงตั้งอยู่ตลอดเวลา จิตจึงไปยึดเอามาเป็นอารมณ์ที่เรียกว่า

ธรรมารมณ์ เมื่อเอาสติมาตั้งให้มั่นลงที่ธรรมดังได้อธิบายมาแล้วนั้น แล้วมาพิจารณาแยกแยะ

ออกจนเห็นเนื้อแท้ของจริงดังได้อธิบายมาแล้วนั้น จิตก็จะคลายจากความหลงรักใคร่ชอบใจ

แลปรารถนาเห็นธรรมารมณ์แลสัญญาสังขารเป็นแต่สักว่าสภาวธรรมอันหนึ่งเกิดขึ้นแล้วดับไป

เพราะอายตนะผัสสะยังมีอยู่มันก็ต้องเกิดมีขึ้นตามธรรมดาของมัน สติก็จะตั้งแน่วแน่อยู่เฉพาะ

ในธรรมารมณ์แต่อย่างเดียวจนเป็นอกัคตารมณ์ เมื่อจิตตั้งมั่นอยู่อย่างนั้นความปล่อยวางใน

ธรรมทั้งก็ค่อยหมดไป ๆ อันทำให้จิตละเอียดลงโดยลำดับ ที่สุดธรรมารมณ์ของสตินั้น

ก็จะหายวูบไป แล้วไปรวม เป็นเอกัคตาจิตมีจิตดวงเดียว..

หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Select your language