พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...
บางคนอาจจะแย้งว่า คำสอนของพุทธศาสนา มีอยู่เป็น ชั้นๆ ความมุ่งหมายก็ควรจะมีเป็นชั้นๆ เช่นให้มีความเจริญ ในโลกนี้ แล้วมีความเจริญในโลกหน้า แล้วจึงถึง ความเจริญอย่างเหนือโลก ดังที่ชอบพูดกันว่า มนุษยสมบัติ สวรรค์สมบัติ และ นิพพานสมบัติ ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะว่า เขาเหล่านั้น ไม่ทราบว่า สมบัติทั้ง ๓ นั้น เป็นเพียงระดับต่างๆ ที่ต้องลุถึงให้ได้ในโลกนี้ และเดี๋ยวนี้ หรือในชาตินี้นั่นเอง ไม่ใช่เอาสวรรค์ต่อเมื่อตายแล้ว และเอานิพพานหลังจากนั้น ไปอีกไม่รู้กี่สิบชาติ |
ตามความหมายที่ถูกต้องนั้น มนุษยสมบัติ หมายถึง การได้ประโยชน์ อย่างมนุษย์ธรรมดาสามัญ
จะลุถึงได้ ด้วยการเอาเหงื่อไคลเข้าแลก จนเป็นอยู่อย่างผาสุก ชนิดที่คนธรรมดาสามัญ จะพึงเป็น
อยู่กันทั่วไป
สวรรค์สมบัติ นั้นหมายถึง ประโยชน์ที่คนมีสติปัญญา มีบุญ มีอำนาจวาสนา เป็นพิเศษ จะพึงถือ
เอาได้ โดยไม่ต้องเอาเหงื่อไคลเข้าแลก ก็ยังมีชีวิตรุ่งเรืองอยู่ได้ ท่ามกลางทรัพย์สมบัติ เกียรติยศ
ชื่อเสียง และ ความเต็มเปี่ยมทางกามคุณ
ส่วนนิพพานสมบัติ นั้นหมายถึง การได้ความสงบเย็น เพราะไม่ถูก ราคะ โทสะ โมหะ เบียดเบียน
จัดเป็นประโยชน์ ชนิดที่คนสองพวกข้างต้น ไม่อาจจะได้รับ เพราะเขาเหล่านั้น ยังจะต้องเร่าร้อน
อยู่ด้วยพิษร้าย ของราคะโทสะ โมหะ ไม่อย่างใด ก็อย่างหนึ่งเป็นธรรมดา แต่ถึงกระนั้น ก็ควร
พิจารณาให้เห็นว่าสมบัติทั้ง ๓ นี้ เป็นเพียงประโยชน์ที่อยู่ในระดับ หรือ ชั้นต่างๆ กัน ที่คนเรา
ควรจะพยายามเข้าถึงให้ได้ทั้งหมด ที่นี่ และเดี๋ยวนี้ คือในเวลาปัจจุบัน ทันตาเห็น นี้จึงจะได้ชื่อว่า
ได้รับสิ่งซึ่งพุทธศาสนาได้มีไว้สำหรับมอบให้แก่คนทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือคนที่ไม่ไร้
ปัญญาเสียเลย
พุทธทาสภิกขุ
#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่าน #อ่านหลายรอบ ##คิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา
#พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ฉลาดใช้ #เฉลียวคิด #ชีวิตจักสนุก
#สุขสงบเย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น