Dhamma together:สัญญาความจำ กับ สติความระลึกได้

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแก่ผู้มาหา...มาฝึกกับพวกเราสิ...



สัญญา คือ ความจำ เป็นอนัตตา คือ ไม่เป็นไปตามความปรารถนา

ต้องการ ปรารถนาให้จำไว้ก็ไม่จำ ปรารถนาให้ลืมก็ไม่ลืม ปรารถนา

ไม่ให้จำก็จำ ปรารถนาไม่ให้ลืมก็ลืม และความจำที่เป็นสัญญา

ก็เป็นความจำตรงไปตรงมาทั้งชิ้นทั้งเรื่อง ดังนั้น สัญญาจึงต้อง

ประกอบพร้อมด้วยสติ เพราะสติเป็นความระลึกได้ที่ประกอบพร้อม

ด้วยเหตุและผล สติไม่ได้เป็นความจำแบบสัญญา ความจำ คือ

สัญญานั้น แม้จะตั้งใจรักษาไว้ก็อาจรักษาไว้ไม่ได้ ต้องลืม แต่สติ

ความระลึกได้นั้น เมื่อตั้งสติไว้ รู้เรื่องพร้อมกับรู้เหตุรู้ผล

ก็จะมีสติอยู่ได้ เหตุการณ์ทั้งหลายที่ประสบพบผ่านแม้นาน เมื่อสติระลึกได้ ก็จะระลึกได้พร้อมทั้ง

เหตุทั้งผลทั้งปวง สัญญาความจำ กับ สติความระลึกได้ มีความแตกต่างกันที่สำคัญอย่างยิ่ง

ในเรื่องเดียวกัน สัญญาอาจเป็นคุณ แต่ก็อาจเป็นโทษ ส่วนสติเป็นคุณไม่เป็นโทษ ความพยายามมีสติ

ระลึกรู้ จึงเป็นความถูกต้อง และเป็นไปได้ยิ่งกว่าพยายามจดจำด้วยสัญญาความจำอันเป็นสัญญานั้น

มีผิด เพราะมีลืม และมีโทษเพราะไม่ประกอบพร้อมด้วยเหตุผลความรู้ถูกรู้ผิด โทษของสัญญา คือ

ความไม่สงบแห่งจิต แตกต่างกับความไม่ลืมมีสติระลึกได้ ซึ่งประกอบพร้อมด้วยเหตุผล ความรู้ถูกรู้ผิด

อันเป็นปัญญา และปัญญานั้นไม่มีโทษ มีแต่คุณ มีแต่นำไปสู่ความสงบแห่งทุกข์ ความสงบแห่งจิต

และจิตยิ่งสงบเพียงใด ยิ่งตั้งมั่นเพียงใด ปัญญายิ่งสว่างรุ่งโรจน์มีพลังเพียงนั้น

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก

#อ่านแล้วแบ่งกันอ่านหลายๆท่านนะจ๊ะ #อ่านหลายรอบ #ระดมสมองคิดหลายๆหน #ฝึกฝนปัญญา

#พัฒนาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน #จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง #ฉลาดใช้ #เฉลียวคิด #ชีวิตจักสนุก

สุข สงบ เย็น #เฉกเช่นพระนิพพาน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Select your language